EKH เด้งเกือบ 6% นิวไฮในรอบกว่า 1 ปี คาดกำไรไตรมาส 3 โตแตะ 42 ลบ. ทุบสถิติสูงสุดใหม่

EKH เด้งเกือบ 6% นิวไฮในรอบกว่า 1 ปี คาดกำไรไตรมาส 3 โตแตะ 42 ลบ. ทุบสถิติสูงสุดใหม่ โดยปิดตลาดฯวันนี้ ราคาอยู่ที่ 6.30 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 5.88% สูงสุดที่ 6.30 บาท ต่ำสุดที่ 5.95 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 58.50 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ EKH ปิดตลาดฯวันนี้ ราคาอยู่ที่ 6.30 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 5.88% สูงสุดที่ 6.30 บาท ต่ำสุดที่ 5.95 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 58.50 ล้านบาท

โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 1 ปี 5 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 6.35 บาท เมื่อวันที่ 12 เม.ย.60

ด้าน บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ (1 ต.ค.) แนะนำ “ซื้อ” EKH ราคาเป้าหมาย 7.50 บาท/หุ้น โดยทางฝ่ายคาดผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง 2561 จะปรับตัวเด่นต่อเนื่องจากปีก่อน และจากครึ่งปีก่อน เนื่องมาจากปัจจัย ดังนี้ เป็นช่วง High season ทำให้จะมีผู้เข้ามาใช้บริการหนาแน่น ประกอบในปีนี้ฤดูฝนมาเร็วและยาวนานกว่าปีก่อนๆ ทำให้คาดจะมีการแพร่ระบาดของโรคที่เกี่ยวเนื่องกับฤดูฝน อาทิ ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ไวรัส RSV (โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กเล็ก) โรคมือเท้าปาก ฯลฯ ทำให้อัตราการใช้บริการเตียงมีโอกาสจะปรับเพิ่มสู่ระดับ 90% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน 83% และในไตรมาส 2/61 เท่ากับ 60%

อการเปิดให้บริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) (เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปี 61) ในปัจจุบันมีจำนวนผู้เข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือน ก.ค.-ส.ค. ที่ผ่านมา เฉลี่ยอยู่ที่ 20 รายต่อเดือน เทียบกับในช่วงเดือนก่อนๆ เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 10 ราย ทำให้คาดทั้งปีจะมีจำนวนเคสเข้ามาเพิ่มสูงขึ้นเป็น 150 ราย จากเดิมที่เคยประเมินก่อนหน้า 100 -120 ราย อย่างไรก็ดีบริษัทจะมีเปิดคลินิกศูนย์ผู้มีบุตรยาก สาขาพระราม 9 เพิ่ม 1 แห่ง เพื่อเป็นศูนย์ส่งต่อและรองรับลูกค้าก่อนที่จะส่งไปยังรพ.เอกชัย คาดใช้งบลงทุนรวม 40-50 ล้านบาท ในเฟสแรก (งบลงทุน 15 ล้านบาท ) คาดจะพร้อมเปิดให้บริการในเดือน พ.ย. 61 นี้

พร้อมทั้ง จากการปรับขึ้นค่าห้องพัก IPD อีกประมาณ 10 % ตั้งแต่ช่วงต้นปี (ภายหลังจาก Renovate เป็นจำนวน 1 ใน 3 ของจำนวนห้องพักทั้งหมด) และเพื่อสะท้อนการดำเนินงานที่เติบสูงและดีกว่าคาด ทำให้ทางฝ่ายปรับสมมติฐานรายได้ค่ารักษาปี 61 ขึ้นมาเป็น 621 ล้านบาท เพิ่ม 18.8% จากปีก่อน และปรับกำไรสุทธิขึ้น 108 ล้านบาท เพิ่ม 30.4% จากปีก่อน

อย่างไรก็ตามในช่วงระหว่างการเปิดเฟสแรกนั้น (คลินิกฯ สาขาพระราม 9) คาดบริษัทจะทำการติดตั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเตรียมเปิดให้บริการแบบ One Stop Service ซึ่งจะเป็นขั้นตอนถัดไปในเฟสสอง โดยคาดจะสามารถเปิดได้อย่างเต็มรูปแบบได้ราวๆ เดือน มี.ค. 62 เป็นต้นไป ทางฝ่ายมีมุมมองบวกต่อคลินิกดังกล่าวค่อนข้างมาก นอกจากจะทำให้บริษัทรองรับกลุ่มผู้ใช้บริการได้มากขึ้น และลูกค้าเกิดความสะดวกสบายต่างๆแล้ว คาดจะทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจ และความประทับใจ ตลอดจนให้ความไว้วางใจในการเข้าใช้บริการและมีการนำไปบอกต่อ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต

ส่วนแผนก่อสร้างอาคารศูนย์กุมารเวชแห่งใหม่ อาคาร 5 ชั้น (เชื่อมกับตัวอาคารรพ.ในปัจจุบัน) งบลงทุนราว 285 ล้านบาท โดยจะรองรับจำนวนห้องพักผู้ป่วยได้เพิ่มอีก 54 เตียง (จากปัจจุบันมีจำนวนเตียงให้บริการอยู่ที่ 86 เตียง) หากในช่วงแรก คาดจะทยอยเปิดก่อน 36 เตียง ราวๆไตรมาส 2/62 และอีก 18 เตียง ในไตรมาส 3/62 แต่คาดจะไม่กดดันต่อผลการดำเนินงานนัก เนื่องมาจากมีผู้ป่วยเด็กเข้ามารับการรักษาค่อนข้างมาก จนบ่อยครั้งทำให้จะประสบปัญหาเตียงเต็ม

อีกทั้ง ประกอบกับทางรพ.มีการทำกลยุทธ์และเพิ่มกิจกรรมการตลาดต่างๆ เช่น การเพิ่มยอดคลอด, กุมารแพทย์เฉพาะทาง, จัด Event ที่เกี่ยวกับแม่และเด็ก ตลอดจนการเปิดศูนย์พัฒนาการเด็กฯ และนอกจากนี้คาดบริษัทจะขยายศูนย์ไตเทียมอีก 14-15 ยูนิต จากปัจจุบันเปิดให้บริการเต็มอยู่ที่ 10 ยูนิต งบลงทุน 25-30 ล้านบาท คาดจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงต้นปี 62 นี้

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายปรับใช้ราคาพื้นฐานเป็นปี 62 อยู่ที่ 7.50 บาท ณ ราคาหุ้นปัจจุบันยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” อย่างไรก็ตามในไตรมาส 3/61 นี้ คาดกำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ เบื้องต้นคาดไว้ที่ราว 42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% จากปีก่อน (จากฐานที่สูงในช่วงเดียวกันปีก่อน) และ สูงขึ้น 87.9% จากไตรมาสก่อน

Back to top button