5 โบรกฯประสานเสียง! 16 หุ้นลงทุนเดือนต.ค.เน้นรับผลดีศก.แกร่ง-เลือกตั้งหนุน-งบฯ Q3 เด่น

5 โบรกฯประสานเสียง! 16 หุ้นลงทุนเดือนต.ค.เน้นรับผลดีศก.แกร่ง-เลือกตั้งหนุน-งบฯ Q3 เด่น นำโดย ANAN,BBL,PLANB,PRM,ROJNA,STEC,IHL,ROBINS,SVI,TKN,VIBHA, BDMS,CPALL,CPN,MINT,PTTGC


เข้าสู่การลงทุนเดือนตุลาคม “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุน พร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอโดยอาศัยบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ 5 แห่ง ประกอบด้วย บล.ทิสโก้,บล.กรุงศรี,บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.แอพเพิล เวลธ์ และบล.เคจีไอ  

โดยทั้ง 5 แห่งต่างมอง SET Index ในเดือนต.ค.ซึ่งอยู่ในช่วงไตรมาส 4/61 มีโอกาสที่ดัชนีจะขึ้นไปทดสอบ 1800 จุดดังนั้นการการลงทุนเดือน ต.ค.ยังเน้นหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศที่คาดว่างบไตรมาส 3 จะออกมาดี และได้ประโยชน์จากธีมการเลือกตั้ง อาทิ ANAN,BBL,PLANB,PRM,ROJNA,STEC,IHL,ROBINS,SVI,TKN,VIBHA, BDMS,CPALL,CPN,MINT,PTTGC

บล.ทิสโก้ STRATEGY: มอง SET Index ไตรมาส 4 ซิกแซกขึ้นทดสอบ 1800 จุด อานิสงส์ Pre-election Rally และเงิน LTF&RMF ไหลเข้า ในเชิงของกระแสข่าวลบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน มองผ่านจุด “พีค” ไปแล้ว แม้มาตรการกีดกันการค้ายังมีแนวโน้มยืดเยื้อต่อไป แต่หลัก ๆ ยังเชื่อว่าเป็นเครื่องมือในการเพิ่มอำนาจในการต่อรองทางการค้าและเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อหวังผลต่อคะแนนความนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ก่อนที่สหรัฐฯจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 6 พ.ย. นี้

ดังนั้นเมื่อผ่านพ้นช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมไปแล้ว ท่าทีที่แข็งกร้าวของประธานาธิบดีทรัมป์น่าจะมีแนวโน้มอ่อนลงมีข้อมูลสำคัญ 2 ประการที่ช่วยสนับสนุนมุมมองของข้างต้น คือ

(1) จากสถิติในรอบ 80 ปีที่ผ่านมา หลังการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ พรรคของประธานาธิบดีมักจะสูญเสียที่นั่งทั้งสภาล่างและสภาบนโดยเฉลี่ย 26 ที่นั่ง และ 4 ที่นั่ง ตามลำดับ หากผลการเลือกตั้งกลางเทอมในต้นเดือน พ.ย. นี้ ออกมาคล้ายในอดีต น่าจะสร้างแรงกดดันต่อประธานาธิบดีทรัมป์ให้บริหารงานอย่างระมัดระวังมากขึ้น และ (2) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอในช่วงการเลือกตั้งกลางเทอม (US Mid-Term Elections Rally) หรือ +8% โดยเฉลี่ย ดังนั้นหากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับการเลือกตั้งในเชิงบวก น่าจะหนุนบรรยากาศการลงทุนหุ้นทั่วโลกโดยรวมในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้

สำหรับปัจจัยในประเทศ โรดแมปการเลือกตั้งปีหน้าที่ทยอยเห็นภาพชัดเจนขึ้นในระยะข้างหน้าจะช่วยหนุนแนวโน้มเศรษฐกิจและหุ้นดีต่อเนื่อง ในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง เชื่อว่ารัฐบาลจะเร่งการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ จากการรวบรวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามงบประมาณปี 2018 และคาดการณ์สำหรับงบประมาณปี 2019 จะคิดเป็นวงเงินรวม 2.3 แสนล้านบาท และ 2.7 แสนล้านบาท ตามลำดับ ในส่วนของโครงการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะมีความคืบหน้ามากขึ้น

โดยโครงการที่คาดว่าจะเปิดข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง (TOR) และประมูลได้ภายในปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า รวมมูลค่ากว่า 7.7 แสนล้านบาท อาทิ รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.3 แสนล้านบาท, รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) มูลค่า 1.0 แสนล้านบาท และรถไฟทางคู่ 9 เส้นทาง มูลค่า 3.9 แสนล้านบาท เป็นต้น

ด้านตลาดหุ้นไทยมักตอบรับในเชิงบวกด้วยการปรับตัวขึ้น (Pre-election Rally) จากการศึกษาข้อมูลการเลือกตั้งของไทยในอดีต ตลาดหุ้นไทยมักปรับขึ้น (โอกาสราว 70%) และให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3-6 เดือนล่วงหน้า (ปรับขึ้นเฉลี่ยราว 4-6%) ผสานกับไตรมาส 4 ของทุกปี จะเป็นเดือนที่เม็ดเงิน LTF & RMF ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากที่สุด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีคาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้จะมีเม็ดเงิน LTF & RMF ไหลเข้ารวมไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะเป็นเม็ดเงิน LTF ราว 3.5 หมื่นล้านบาท และ RMF ราว 1.5 หมื่นล้านบาท อิงจากสถิตินับตั้งแต่ปี 2010 โอกาส SET Index ปรับตัวขึ้นในไตรมาส 4 มีอยู่ราว 63% โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +2.2%

ถึงแม้ปัจจัยเสี่ยงภายนอกยังอาจสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดหุ้นไทยต่อไป และยังไม่มีสัญญาณไหลกลับของกระแสเงินทุนต่างประเทศ (ส่วนหนึ่งจากแรงกดดันด้านสงครามการค้า, การอ่อนค่าของสกุลเงินหลายประเทศในตลาดเกิดใหม่ และนโยบายการเงินในต่างประเทศที่ปรับเปลี่ยนไปในทางที่เข้มงวดขึ้น และบางส่วนอาจมาจากมุมมองของต่างชาติที่ยังไม่ไว้วางใจว่าการเลือกตั้งจะเลื่อนอีกหรือไม่) แต่มองปัจจัยภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี, ความคืบหน้าโครงการลงทุนภาครัฐ และการเลือกตั้งปีหน้า จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่แนวโน้มการแกว่งซิกแซกขึ้นได้อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ด้วยแรงขับเคลื่อนจากเม็ดเงินภายในประเทศเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นยังคงเป้า SET Index ปลายปีนี้ขึ้นทดสอบระดับ 1800 และ 1850 จุด ตามลำดับ

สำหรับหุ้นเด่นในเดือน ต.ค. จะเน้นหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศที่คาดว่างบไตรมาส 3 จะออกมาดี และได้ประโยชน์จากธีมการเลือกตั้ง แนะนำ ANAN, BBL, PLANB, PRM, ROJNA และ STEC ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1730-35, 1710-25 และ 1765-70, 1800-1810 จุด ตามลำดับ

 

บล.กรุงศรี ระบุว่าแนวโน้มเดือน ต.ค.คาด SET ไปต่อ ทดสอบ 1,800 จุด กลยุทธ์ Selective buy เน้นเก็งกำไรหุ้นงบ ไตรมาส3/61 จะออกมาดี หรือ ซื้อกลุ่ม Domestic play ที่ได้ผลบวกจากเศรษฐกิจในประเทศที่แข็งแกร่งและได้ผลบวกจากการเลือกตั้ง อาทิ กลุ่ม ค้าปลีก และ ธนาคาร Top Pick – IHL, ROBINS, SVI, TKN และ : VIBHA

เดือน ก.ย. หุ้นในพอร์ตการลงทุนทั้งหมด 5 หลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.1% ชนะตลาดที่ให้ผลตอบแทน 2% โดย AEONTS ให้ผลตอบแทนมากสุด 16.1% ตามด้วย TKN, STEC และ MINT ให้ผลตอบแทน 10.8%, 10.7% และ 3.8% ส่วน DCC น่าผิดหวังให้ผลตอบแทน -0.8 ตามลำดับ

ส่วนแนวโน้มเดือน ต.ค. ยังมองบวกคาด SET Indexจะปรับขึ้นทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,800 จุด โดยมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศที่แข็งแกร่ง สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ผ่อนคลาย และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตดี เป็น 3 ปัจจัยหนุน

กลยุทธ์การลงทุนเดือน ต.ค.ยังเป็น Selective buy โดยเน้นเก็งกำไรหุ้นที่งบ ไตรมาส3/61 จะออกมาดีรวมถึงเข้าซื้อกลุ่มที่ได้ปัจจัยบวกจาก 3 ปัจจัยข้างต้น อาทิ ค้าปลีกและกลุ่มธนาคาร โดยมี 5 หุ้น Top pick เดือนนี้คือ IHL, ROBINS, SVI, TKN และ VIBHA  

 

บล.ฟินันเซีย ไซรัส กลยุทธ์การลงทุนเดือน ต.ค. ความกังวลต่างๆของนักลงทุนทั่วโลกที่เคยมีก่อนหน้านี้คลี่คลายไปมาก ขณะที่ในประเทศมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวเรื่องเลือกตั้งและการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปี จึงมองว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนนี้มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นทำจุดสูงใหม่ในรอบ 5 เดือน เม็ดเงินจากต่างชาติน่าจะย้ายจากตลาดพันธบัตรเข้าสู่ตลาดหุ้น จึงเน้นหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่เกาะกระแสการเลือกตั้งและการลงทุน

อย่างไรก็ตามหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวปรับขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมาแล้ว หุ้นแนะนำเดือน ต.ค. จึงเลือกหุ้นใหญ่ที่ราคายัง laggard ได้แก่ BDMS, CPALL, CPN, MINT, PTTGC

 

บล. แอพเพิล เวลธ์  ระบุว่า ภาพรวมการลงทุนตลาดหุ้นไทยในเดือน ต.ค.นี้ น่าจะยังได้แรงหนุนจากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ที่คาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 4.5 % โดยมีปัจจัยเชิงบวก ได้แก่ ทิศทางการส่งออกซึ่งคาดว่าจะขยายตัวประมาณ 9% ขณะที่การลงทุนภาครัฐ-เอกชน รวมถึงการบริโภคมีแนวโน้มดีขึ้น แม้ว่าภาคท่องเที่ยวเริ่มเห็นส่งสัญญาณการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนส.ค. ที่ผ่านมาขยายตัวเพียง 3% ซึ่งขณะนี้รัฐบาลเร่งออกมาตรการฟื้นความมั่นใจนักท่องเที่ยวจีนในช่วงปลายปีนี้

สำหรับทิศทางค่าเงินบาท ยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง จากตัวเลขการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่สูงระดับ 10% ของ GDP และน่าจะทำให้ตลาดเงินตลาดทุนไทย ผันผวนน้อยกว่าตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ  อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลักที่จะสนับสนุนการลงทุนในเดือน ต.ค.นี้  คือ ความชัดเจนในการเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงเดือน ก.พ. – พ.ค. 62 และช่วยกระตุ้นให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศคึกคัก

ขณะที่ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์งวดไตรมาส 3/61 น่าจะเติบโตได้ประมาณ 4 -5%จากงวดเดียวกันปีก่อน ซึ่งการฟื้นตัวของสินเชื่อและการกันสำรองที่คาดจะลดลง  ส่วนหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี น่าจะได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันทรงตัวระดับ 72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะเป็นผลบวกต่อกำไร และบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่มพลังงาน ซึ่งอาจจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันราว 3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนกลยุทธ์การลงทน แนะนำซื้อหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ที่ได้ประโยชน์จากการลงทุน การเลือกตั้ง

           

บล.เคจีไอ ระบุว่า คาด SET Index วันจันทร์ (วันแรกของ ต.ค. และของไตรมาส 4/61) ปรับขึ้นกรอบจำกัดหนุนโดยราคาน้ำมันที่เดินหน้าปรับขึ้น และน่าจะหนุนราคาหุ้นพลังงานตัวหลักๆ ผนวกกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องตามตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง แนวโน้มดอกเบี้ยไทยที่กำลังจะปรับขึ้น และพัฒนาการเชิงบวกทางการเมือง น่าจะหนุนฟันด์โฟลว์หุ้นไทยได้ในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ดีฝ่ายวิจัยฯยังคงมองว่า upside ของดัชนีฯ ในช่วงสั้น (และในเดือนนี้) มีจำกัด เนื่องจาก valuations ของตลาดหุ้นอยู่ในระดับสูงและข่าวสารเชิงบวกจากต่างประเทศได้ออกมาในเดือนที่แล้วค่อนข้างมาก

กลยุทธ์การเลือกหุ้นในเดือน ต.ค. จึงยังเน้นหุ้นขนาดกลางที่มีธีมเช่น i) การเมืองที่ชัดเจน การเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา ii ได้ประโยชน์จากตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนที่เร่งตัวขึ้นชัดเจนในเดือน ส.ค. และ iii) แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2561 แข็งแกร่ง

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button