“เปิดโผ “หุ้นบลูชิพ” 9 เดือนลงมากกว่าขึ้น! แนะเก็บ 10 หุ้นดีราคาถูกร่วงเกิน 10%
“เปิดโผ “หุ้นบลูชิพ” 9 เดือนลงมากกว่าขึ้น! แนะเก็บ 10 หุ้นดีราคาถูกร่วงเกิน 10%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่ม SET50 ในรอบ 9 เดือน โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-28 ก.ย. 61 โดยทิศทางราคาหุ้นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาพบว่ามีแรงกดดันหลายด้านเข้ามาฉุดให้ดัชนีปรับตัวลง โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่การลงทุนมากสุด
ขณะเดียวกันปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านมีผลกับราคาน้ำมันให้ปรับขึ้น ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป
อย่างไรก็ตามแม้ปัจจัยเสี่ยงภายนอกอาจสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดหุ้นไทย และยังไม่มีสัญญาณไหลกลับของกระแสเงินทุนต่างประเทศแต่มองปัจจัยภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี, ความคืบหน้าโครงการลงทุนภาครัฐ และการเลือกตั้งปีหน้า จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่แนวโน้มการแกว่งซิกแซกขึ้นได้อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ด้วยแรงขับเคลื่อนจากเม็ดเงินภายในประเทศเป็นสำคัญ
แน่นอนภาวะดังกล่าวหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 น่าจะเป็นเป้าหมายและเป็นที่สนใจสำหรับนักลงทุนในช่วงนี้ ดังนั้น“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”จึงทำการสำรวจหุ้นกลุ่มดังกล่าวมานำเสนอ โดยได้ทำการสำรวจทั้งกลุ่มหุ้นที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นและราคาปรับตัวลงแรงมานำเสนอ โดยเทียบราคาหุ้น ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-28 ก.ย.61 ดังตารางประกอบ
สำหรับกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงโดดเด่นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีทั้งหมด 20 ตัว คือ KTC,PTTEP,MTC, GLOBAL,HMPRO,PTT,BDMS,TOA,BEM,BTS,IVL, LH,EGCO,GLOW,ADVANC, KTB,CPF, BBL,BPP และBGRIM
ด้านหุ้นที่ปรับฐานลงแรงและมีโอกาสดีดกลับ 30 ตัว อาทิ SCB,BH,BANPU,TRUE,CPN,ROBINS,IRPC,AOT, INTUCH,DTAC,PTTGC,TCAP,RATCH,DELTA, KKP,TISCO,GPSC,MINT,KBANK, SCC,EA,BJC,TU,CPALL,SPRC, TOP,TMB,CENTEL,CBG,BEAUTY
นอกจากนี้หากสังเกตหุ้นที่ปรับตัวลงแรงในท้ายตารางประกอบจะพบว่ามีหุ้น 10 ตัวที่ราคาร่วงแรงเกิน 10% ขณะเดียวกันยังเป็นกลุ่มหุ้นที่ราคายัง laggard และโบรกฯยังแนะนำให้เป็นน่าลงทุนเดือนต.ค.ตรงนี้น่าจะเป็นโอกาสให้นักลงทุนได้เลือกหุ้นพื้นฐานเข้าพอร์ตอีกครั้ง
ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส กลยุทธ์การลงทุนเดือน ต.ค. ความกังวลต่างๆของนักลงทุนทั่วโลกที่เคยมีก่อนหน้านี้คลี่คลายไปมาก ขณะที่ในประเทศมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวเรื่องเลือกตั้งและการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปี จึงมองว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนนี้มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นทำจุดสูงใหม่ในรอบ 5 เดือน เม็ดเงินจากต่างชาติน่าจะย้ายจากตลาดพันธบัตรเข้าสู่ตลาดหุ้น จึงเน้นหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่เกาะกระแสการเลือกตั้งและการลงทุน
อย่างไรก็ตามหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวปรับขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมาแล้ว หุ้นแนะนำเดือน ต.ค. จึงเลือกหุ้นใหญ่ที่ราคายัง laggard ได้แก่ BDMS, CPALL, CPN, MINT, PTTGC
บล.ทิสโก้ : มองตลาดหุ้นไทยมักตอบรับในเชิงบวกด้วยการปรับตัวขึ้น (Pre-election Rally) จากการศึกษาข้อมูลการเลือกตั้งของไทยในอดีต ตลาดหุ้นไทยมักปรับขึ้น (โอกาสราว 70%) และให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3-6 เดือนล่วงหน้า (ปรับขึ้นเฉลี่ยราว 4-6%) ผสานกับไตรมาส 4 ของทุกปี จะเป็นเดือนที่เม็ดเงิน LTF & RMF ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากที่สุด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีคาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้จะมีเม็ดเงิน LTF & RMF ไหลเข้ารวมไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะเป็นเม็ดเงิน LTF ราว 3.5 หมื่นล้านบาท และ RMF ราว 1.5 หมื่นล้านบาท อิงจากสถิตินับตั้งแต่ปี 2010 โอกาส SET Index ปรับตัวขึ้นในไตรมาส 4 มีอยู่ราว 63% โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +2.2%
ถึงแม้ปัจจัยเสี่ยงภายนอกยังอาจสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดหุ้นไทยต่อไป และยังไม่มีสัญญาณไหลกลับของกระแสเงินทุนต่างประเทศ (ส่วนหนึ่งจากแรงกดดันด้านสงครามการค้า, การอ่อนค่าของสกุลเงินหลายประเทศในตลาดเกิดใหม่ และนโยบายการเงินในต่างประเทศที่ปรับเปลี่ยนไปในทางที่เข้มงวดขึ้น และบางส่วนอาจมาจากมุมมองของต่างชาติที่ยังไม่ไว้วางใจว่าการเลือกตั้งจะเลื่อนอีกหรือไม่) แต่มองปัจจัยภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี, ความคืบหน้าโครงการลงทุนภาครัฐ และการเลือกตั้งปีหน้า จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่แนวโน้มการแกว่งซิกแซกขึ้นได้อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ด้วยแรงขับเคลื่อนจากเม็ดเงินภายในประเทศเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นยังคงเป้า SET Index ปลายปีนี้ขึ้นทดสอบระดับ 1800 และ 1850 จุด ตามลำดับ
สำหรับหุ้นเด่นในเดือน ต.ค. จะเน้นหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศที่คาดว่างบไตรมาส 3 จะออกมาดี และได้ประโยชน์จากธีมการเลือกตั้ง แนะนำ ANAN, BBL, PLANB, PRM, ROJNA และ STEC ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1730-35, 1710-25 และ 1765-70, 1800-1810 จุด ตามลำดับ
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน