“เครดิต สวิส”ชี้ต่างชาติเพิ่มน้ำหนักหุ้นพลังงานไทย รับเงินทุนไหลเข้า-น้ำมันแตะ90ดอลลาร์ฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บล.เครดิต สวิส (ประเทศไทย) ได้ออกบ …


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บล.เครดิต สวิส (ประเทศไทย) ได้ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มพลังงานในประเทศไทย ในวันนี้ (4 ต.ค.) โดยทำแบบสำรวจความเห็นของนักลงทุนต่างชาติต่อหุ้นกลุ่มพลังงานในประเทศไทย ทั้งจากประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และฮ่องกง

โดยในความเห็นของนักลงทุนต่างประเทศ มองว่า หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มหลักที่มีโอกาสจะสามารถทำประโยชน์ได้สูงจากกระแสเงินที่ไหลเข้ามาโดยอิงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นไปแตะที่ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วง 6 เดือนนี้

อย่างไรก็ตาม บล.เครดิต สวิส มองว่าธุรกิจปิโตรเคมีนั้นจะมีรายได้ในไตรมาส 3/2561 ลดลงจากความต้องการที่ลดลง (จากสงครามการค้า) ที่จะส่งผลให้ผู้ผลิตปิโตรเคมีประสบปัญหาราคาต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น

 

ทั้งนี้ได้ให้คำแนะนำ และราคาเป้าหมายหุ้นกลุ่มพลังงานในช่วง 12 เดือนของหุ้นกลุ่มดังกล่าว ดังนี้

บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น ให้ราคาเป้าหมาย 8.5 บาท โดยคำนวณราคาเป้าหมายอิงจาก P/B ที่ 1.7 เท่า เมื่อเทียบจาก ROE ที่ทำได้อยู่ที่ 13% ในปี 2562

โดยปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมายของ IRPC คือ 1.อัตราค่าการกลั่นรวม 2.อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท และดอลลาร์สหรัฐ 3.กำไรจากปิโตรเคมี 4.การดำเนินการที่คงที่

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น ให้ราคาเป้าหมาย 77 บาท ราคาเป้าหมายอิงจากการนำราคาเป้าหมายคูณด้วย EV/EBITDA 9.5 เท่า ในปี 2562 ซึ่งไม่รวมกำไรพิเศษ พร้อมยังมองถึงการเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง และที่ตั้งตามจุดภูมิศาสตร์ที่สำคัญ

สำหรับปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมายของ IVL คือ 1.เกิดการชะงักของโรงงาน 2.ความผันผวนของค่าเงิน 3. วัฏจักรเศรษฐกิจ 4.มีการเปลี่ยนแปลงของข้อบังคับต่างๆ เช่น มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด หรือ การต่อต้านการผูกขาด

บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP แนะนำถือ ให้ราคาเป้าหมาย 143 บาท โดย ราคาเป้าหมายอิงจากแนวโน้มการขึ้นลงของราคาน้ำมันระหว่าง 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2561 กับ 63 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2564 จนถึงปี 2572 นอกจากนั้นยังมองไปถึงการเข้าทำธุรกิจในแหล่งก๊าซบงกช-เอราวัณ โดยให้ราคาเพิ่มที่ 7 บาทสำหรับแหล่งก๊าซบงกช และ 10 บาทสำหรับแห่งก๊าซเอราวัณ

สำหรับอัตราผลตอบแทนแบบที่ไม่มีความเสี่ยงในการลงทุนที่ 2.5% beta = 1 มีอัตราการเติบโตในระยะยาวที่ 2% และ ต้นทุนเงินต้น (WACC) 10%

โดยปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมายของ PTTEP คือ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น หรือต่ำลง และความไม่แน่นอนสำหรับข้อบังคับใช้ของกฎหมายพลังงาน (Energy Act) ที่มีการระงับใช้อยู่ รวมไปถึงความล่าช้าในการประมูลสัมปทานในอ่าวไทย

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC  แนะนำถือ ให้ราคาเป้าหมาย 90 บาท ราคาเป้าหมาย P/B 1.3 เท่าของปี 2562 โดยยังคงสถานะ Neutral ไว้อยู่เนื่องจากมีปันผลที่ดี แต่ตัวหุ้นนั้นยังขาดแรงผลักดัน

สำหรับปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมายของ PTTGC คือความไม่แน่นอนของราคาน้ำมัน ราคาปิโตรเคมี และอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงิน นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้ที่ PTTGC จะนำกระแสเงินสดอิสระกลับมาลงทุนในโครงการที่จะได้ผลตอบแทนที่ต่ำ

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT  มีโอกาสปรับตัวลดลงให้ราคาเป้าหมาย 50 บาท ราคาเป้าหมายที่ 50 บาทนั้นอิงจากการประเมินโดยวิธีคิดแยกส่วน (SOTP) จากราคากระดานที่ 53.5 บาท ซึ่งอาจมีการใช้เงินมาเพิ่มหนุนราคาน้ำมันที่มีโอกาสปรับสูงขึ้น

สำหรับปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมายของ PTT คือ 1.ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจนมีโอกาสแตะที่ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล 2.การฟื้นตัวของค่าการกลัน และการเริ่มจ่ายก๊าซของโครงการก๊าซธรรมชาติเหลาที่ประเทศโมซัมบิก

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP แนะนำ ถือ ให้ราคาเป้าหมาย 84 บาท โดยราคาเป้าหมายอิงจากค่า P/B ที่ 1.2 เท่าใน 2562 โดยไม่มีกำไรพิเศษ ที่ลดลงจากค่าเฉลี่ยที่ 1.3 เท่าตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งการปรับราคาลงมาต่ำกว่ากระดานนั้นมาจากการขยายกิจการของ TOP ที่มี ROE ที่ต่ำ

สำหรับปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมายของ TOP คือ 1. การขึ้นลงของอัตราค่าการกลั่น 2.อัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาท และดอลลาร์สหรัฐ 3. ราคาปิโตรเคมี

 

Back to top button