ปปง.ลงดาบ “พี่ชายดารา” ตุ๋นบิตคอยน์ “เศรษฐีฟินแลนด์” สั่งอายัดทรัพย์ 210 ลบ.!!

ปปง.ลงดาบ “พี่ชายดารา” ตุ๋นบิตคอยน์ “เศรษฐีฟินแลนด์” สั่งอายัดทรัพย์ 210 ลบ.!!


สืบเนื่องจากกรณี นายปริญญา จารวิจิต พี่ชาย นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือ บูม นักแสดงจากซีรี่ย์ดัง ร่วมกับพวก มีพฤติการณ์กระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระและฐานความผิดร่วมกันฟอกเงิน วางแผนและสมคบกันหลอกลวง โดยชักชวนให้ นายอาร์นี่ โอทาวา ซาริมา ชาวฟินแลนด์ (Mr. Aarni Otava Saarimaa) ร่วมลงทุนซื้อหุ้นกับบริษัท Expay Software จำกัด และ Nx Chain Inc ลงทุนประกอบธุรกิจซื้อขายสกุลเงินดิจิตอลในชื่อดราก้อน คอน  dragon coin (DRG) และหุ้นของบริษัทดีเอสเอ 2002 จำกัด (มหาชน)

โดยอ้างว่าเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง เป็นเหตุให้นายอาร์นี่ หลงเชื่อลงชื่อในสัญญาที่ฝ่ายนายปริญญาจัดทำขึ้น และโอนเหรียญบิตคอยน์ซึ่งเป็นเงินดิจิตอลเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่กลุ่มนายปริญญาเปิดรองรับไว้รวม 19 ครั้ง คิดเป็นเงินไทย 797 ล้านบาท แต่นายอาร์นี่ไม่ได้รับหุ้นครบตามสัญญา และไม่มีการนำเงินไปลงทุนในหุ้นจริง จึงทราบว่าถูกนายปริญญา กับพวกหลอกลวง

 

สุดวันนี้ ( 9 ต.ค.61) เว็บไซต์สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้เผยแพร่คำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย.174/2561 มีมติให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับข้องกับการกระทำความผิด

โดยจากการตรวจสอบข้อมูลในบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่รับโอนเงินบิตคอยน์จาก นายอาร์นี่ เป็นบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของบุคคลต่างๆ ที่ร่วมกันหลอกลวง และมีการขายเหรียญบิตคอยน์ผ่านระบบการซื้อขายในอินเตอร์เน็ต จากนั้นนำเงินที่ได้โอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ธนาคารที่เปิดรองรับไว้

ส่วนเหรียญบิตคอยน์ที่เหลือได้ถูกโอนออกไปยังบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบพบข้อมูลว่ามีการนำเงินไปรับซื้อฝากที่ดินและซื้อที่ดินหลายแปลงในชื่อของนายปริญญา และพวก อันถือเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน

อย่างไรก็ตาม คำสั่งของคณะกรรมการธุรกรรม ระบุอีกว่า จากการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน ปรากฏหลักฐานเป็นที่น่าเชื่อได้ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวมีพฤติการณ์กระทำความผิดตามกฎหมายฟอกเงินตามมาตรา 4 และ 5 หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้อง หรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน

ซึ่งจากการรวบรวมหลักฐานพบว่านายปริญญาและพวกได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดรวม 64 รายการ มูลค่า 210 ล้านบาท (ทรัพย์สินบางส่วนอยู่ระหว่างประเมินราคา) เป็นเงินฝากธนาคาร และสิทธิ์เรียกร้องอันเป็นทรัพย์ที่สามารถโอน ยักย้าย ปกปิด ซ่อนเร้นได้โดยง่าย

รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ประเภทโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ปรากฏหลักฐานในทางทะเบียนที่ผู้ครองครองกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิ์ครอบครองสามารถทำนิติกรรมโอนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ครองครองได้ ถ้าไม่มีการออกคำสั่งอายัดทรัพย์ดังกล่าวไว้ ต่อมาหากศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์ดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ปปง.อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์ดังกล่าวกลับคืนมาได้ คณะกรรมการธุรกรรม จึงมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินทั้ง 64 รายการ พร้อมดอกผล ไว้ชั่วคราว มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค.- 11 พ.ย. 61

สำหรับทรัพย์สินดังกล่าวประกอบด้วย บัญชีเงินฝากธนาคารในชื่อของนายนายจิรัชพิสิษฐ์ จำนวน 5 บัญชี ซึ่งสามารถประเมินราคาได้ 2 บัญชี มูลค่า 4 ล้านบาท อยู่ระหว่างการประเมินราคาอีก 3 บัญชี และที่ดินเขตจตุจัตรเนื้อที่ 3 งาน 80 ตารางวาที่มีชื่อนายจิรัชพิสิษฐ์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ มูลค่า 43 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารและที่ดินในชื่อของนายปริญญา, น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต และชื่อบุคคลอื่น รวม 59 รายการ รวมจำนวนเงินทั้งหมด 210 ล้านบาท 

ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกยึดทรัพย์หรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในทรัพย์ดังกล่าวต้องการขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดอายัดทรัพย์ ให้ยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานที่แสดงว่าเงินหรือทรัพย์ที่ถูกยึดอายัดนั้นไม่ใช่ทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดต่อเลขาธิการ ปปง. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือทราบคำสั่งนี้

Back to top button