แรงซื้อกลับหุ้นพลังงาน-แบงก์หนุน SETรีบาวด์กว่า8จุด หลังดิ่งหนัก-เงินเฟ้อสหรัฐฯต่ำกว่าคาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ เวลา 10.49 น. อยู่ที่ระดับ 1,691.61 จุด เพิ่มขึ้น 8.72 จุด หรือ 0.52% สูงสุดที่ระดับ 1,694.05 จุด ต่ำสุดที่ระดับ 1,688.44 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1.05 หมื่นล้านบาท

 

โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยต้นภาคเช้าปรับขึ้น 8.72 จุดรีบาวด์กลับหลังดิ่งลงแรงวานนี้ ประกอบกับตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อคืนนี้ต่ำกว่าที่คาดการณ์จึงช่วยลดแรงกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงวานนี้ นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน และแบงก์ ช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น

ด้านนายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ดีดตัวได้ค่อนข้างแรง โดยได้รับปัจจัยหลัก 6 ประการ ได้แก่ ประการแรก สหรัฐฯได้รายงานเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานของสหรัฐขยายตัวน้อยกว่าตลาดคาดเพียง 2.3% และ 2.2% ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield)อายุ 10 ปีของสหรัฐ ลดลงมาที่ 3.13% ลดความกังวลเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด

ประการที่สอง ค่าเงินสหรัฐฯเริ่มอ่อนค่าลง 0.53% ลดแรงกดดันต่อสกุลอื่น ๆ โดยเฉพาะ Emerging Market ที่ถูกโจมตีค่าเงินในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ให้รอติดตามการประชุมธนาคารยุโรป (ECB) ในวันที่ 24-25 ต.ค.61 คาดว่าจะยังทำให้สกุลยูโรแข็งค่าและดึงค่าเงินสหรัฐอ่อนลงอีก

ประการที่สาม ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมา 2 วันติดต่อกัน ประการที่สี่ แรงกดดันเรื่อง Valuation ที่ตึงตัวของตลาดหุ้นสหรัฐเริ่มผ่อนคลายหลัง S&P500 Index ร่วงรุนแรง 2 วันติดต่อกัน 5.3%ประการที่ห้า VIX Index ดีดตัวสู่ 25 จุดแม้จะสูงที่สุดในรอบ 7 เดือนแต่ยังเป็นระดับที่ห่างไกลจากเมื่อวันที่ 6 ก.พ.61 ที่ 50.3 จุดซึ่ง S&P500 Index เกิด Panic Sell และปรับฐานอย่างรุนแรง สะท้อนว่าปัจจุบันความกลัวของตลาดไม่ได้สูงไปกว่าเมื่อต้นปี และประการสุดท้าย ตลาดหุ้นสหรัฐกำลังเข้าสู่การประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 3/61 ซึ่งอาจจะทำให้มีแรงเก็งกำไรเข้ามา

ทั้งนี้ เหตุผล 6 ประการดังกล่าวเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดตัวขึ้นในช่วงเช้านี้ และเชื่อเป็นปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น ระยะยาวสิ่งที่ต้องติดตามคือการขยายตัวของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะเป็นตัวเร่งให้เงินเฟ้อและดอกเบี้ยพุ่งขึ้นแรงในอนาคต และจะกลับมาเป็นตัวกดดันในตลาดหุ้นทั่วโลกอีกครั้ง