ECF เด้งกลับ 9% คลายกังวลปมพัวพันแก๊ง”SUPER TRADER”

ECF เด้งกลับ 9% คลายกังวลปมพัวพันแก๊ง”SUPER TRADER” โดยล่าสุด ณ เวลา 11.38 น. อยู่ที่ 6.75 บาท บวก 0.55 บาท หรือ 8.87% สูงสุดที่ 6.95 บาท ต่ำสุดที่ 6.05 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 276.48 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF ล่าสุด ณ เวลา 11.38 น. อยู่ที่ 6.75 บาท บวก 0.55 บาท หรือ 8.87% สูงสุดที่ 6.95 บาท ต่ำสุดที่ 6.05 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 276.48 ล้านบาท

อนึ่ง เช้านี้มีการรายงานข่าว ระบุว่า นายอารักษ์ สัขสวัสดิ์กรรมการผู้จัดการบริษัทอีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เปิดเผยว่าตนเองในฐานะผู้บริหารขอยืนยันว่าไม่ได้มีการเกี่ยวข้องกับเครือข่าย SUPER TRADER และนายกระทรวง จารุศิระ เป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด โดยยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมาเครือข่าย SUPER TRADER เป็นตัวกลางในการนำโมเดลทางธุรกิจมาเสนอให้กับบริษัท ซึ่งทาง SUPER TRADER เป็นเหมือนนายหน้าจัดหาโมเดลธุรกิจ

ส่วนกรณีที่ “กลุ่มจารุศิระ” มีสัดส่วนการถือหุ้นใน ECF รวมจำนวน 2.22% เบื้องต้นได้รับทราบรายละเอียดมาว่า ทาง กลุ่มจารุศิระเข้ามาซื้อหุ้นของ ECF ผ่านการทำรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot) ซึ่งพี่ชายของตนเองได้นำหุ้นของบิดาออกมาจำหน่ายให้กับกลุ่มจารุศิระ โดยพี่ชายของตนเองมีความสนิทเป็นการส่วนตัวกับนายกระทรวงอยู่ก่อนหน้านั้นมานานแล้ว

ขณะที่จากนี้ไปจะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา ด้วยการทำให้ผลประกอบการและพื้นฐานของ ECF มีความแข็งแกร่งขึ้น หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทจะพิจารณาความเหมาะสมเพื่อเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) เพื่อซื้อหุ้นคืน หรือจะเป็นการเข้าซื้อในนามบุคคล หากราคาหุ้นของ ECF ปรับตัวลดลงมากจนเกินไป

ต้องบอกเลยว่าเป็นความซวยของบริษัท ในการที่กลุ่มคน 2 กลุ่มทะเลาะกันแล้วมาลงที่ ECF ผมเองก็บริหารงานมาตลอดไม่เคยเล่นหุ้น โดยยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกับนายกระทรวง และ SUPER TRADER โดยสาเหตุที่รู้จักกันในช่วงที่ผ่านมา เพราะ SUPER TRADER มีการเอาดีลมาให้ 1-2 ดีล” นายอารักษ์ กล่าว

นายอารักษ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท เอสเทรค (ประเทศไทย) จำกัด ใน สัดส่วน 51% โดยเอสเทรคเป็นผู้ดำเนินธุรกิจในด้าน IT Solution โดยเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2561ได้มีการลงนามร่วมกันเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุน ซึ่งบันทึกข้อตกลงฉบับดังกล่าวจะศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจของ S-Trek ให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน คาดว่าจะเสนอที่ประชุมบอร์ดในวันที่ 9 พ.ย. 2561 และในอนาคตมีแผนที่จะบริษัทดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ด้านธุรกิจพลังงาน ขณะนี้บริษัทมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าที่จ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว จำนวน 8.50 เมกะวัตต์ (MW) และมีโครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างได้แก่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมียนมา ขนาดกำลังผลิต 220 MW โดยจะ COD ในไตรมาส 1/2561 ส่วนธุรกิจไอทีจะเป็นการรับรู้รายได้จากการเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทที่ประกอบธุรกิจดังกล่าว

ทั้งนี้  ECF วางเป้ารายได้ในช่วง 3-5 ปีจากนี้ (2562-2566) จะมีฐานรายได้อยู่ที่ระดับ 10,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ 30% ธุรกิจพลังงาน 30% ธุรกิจด้านไอที 30% และอื่น ๆ อีก 10% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้หลัก 80% มาจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งจากนี้ไปบริษัทจะมุ่งเน้นการขยายทั้ง 3 ธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์บริษัทได้มีการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่เป็นศูนย์ค้าส่งสินค้าเฟอร์นิเจอร์

Back to top button