“เซี่ยงไฮ้คอมโพสิต”ทะยานต่อ4% หลังร่วงนาน 9 เดือน ขานรับแผนกระตุ้นGDP-เพิ่มสภาพคล่องแบงก์

“เซี่ยงไฮ้คอมโพสิต”ทะยานต่อ4% หลังร่วงนาน 9 เดือน ขานรับแผนกระตุ้นGDP-เพิ่มสภาพคล่องแบงก์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดตลาดวันนี้(22ต.ค.61)พุ่งแรงปิดที่ระดับ 2,654.88 จุด บวก 104.41 จุด หรือ 4.09% โดยราคาหุ้นวิ่งแรง 2 วันติด หลังหุ้นเป็นขาลงมานานเกือบ 9 เดือน โดยนับตั้งแต่หุ้นปรับตัวจากระดับ 3558.13 จุด เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2561

โดยปัจจัยที่ส่งให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากทางรัฐบาลจีนได้ออกมาประกาศให้การสนับสนุนภาคเอกชน ซึ่งนับเป็นความเคลื่อนไหวที่รัฐบาลจีนต้องการบรรเทากระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศ

นอกจากนี้ประเด็นการลด RRR(อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง) เพื่อเพิ่ม Liqiudity(สภาพคล่อง) ให้แบงก์อัดฉีดเงินเข้าระบบได้เพิ่มขึ้น และยังมีประเด็นที่รัฐบาลจีนประกาศลดภาษีบุคคลส่งผลให้ผู้มีรายได้ปานกลางมีกำลังซื้อ เพิ่มขึ้น โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม ปี 2562 และคาดว่าจะสูงกว่า 1% ของ GDP

ด้านนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนได้ออกมาให้คำมั่นว่า รัฐบาลจีนจะให้การสนับสนุนภาคเอกชนอย่างจริงจัง ซึ่งนับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่รัฐบาลจีนต้องการบรรเทากระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ

โดยนายสีได้สนับสนุนให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นในการพัฒนาธุรกิจและดำเนินการตามแนวทางทางที่เป็นจริงเพื่อให้ธุรกิจมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยนายสีได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าวผ่านทางจดหมายที่ส่งถึงบริษัทเอกชนที่มีส่วนร่วมในโครงการบรรเทาความยากจน

นายสียังกล่าวด้วยว่า ภาคเอกชนมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การนวัตกรรม การจ้างงาน และการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน นอกจากนี้ ยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

ถ้อยแถลงของประธานาธิบดีจีนมีขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนได้ออกมาสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนเช่นกัน ซึ่งรวมถึงนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีนซึ่งกล่าวว่า รัฐบาลจีนจะสนับสนุนการพัฒนาในภาคเอกชน พร้อมระบุว่า ทางการจีนจะเร่งบังคับใช้มาตรการต่างๆที่จะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น

นายหลิวยังกล่าวด้วยว่า การที่ตลาดหุ้นจีนร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมานั้น มีสาเหตุมาจากหลากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารรายใหญ่ในต่างประเทศ รวมทั้งข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

ทางด้านนายอี้ กัง ผู้ว่าการธนาคารกลางจีนได้ออกมาแสดงความเห็นเช่นกันว่า มูลค่าของตลาดหุ้นจีนในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ และไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของจีนซึ่งมีทิศทางที่เป็นบวกและมีเสถียรภาพ พร้อมกับกล่าวว่า ธนาคารกลางจีนจะรักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีเสถียรภาพ เพื่อสนับสนุนตลาดหุ้น เศรษฐกิจ และภาวะแวดล้อมด้านการเงิน ให้มีเสถียรภาพด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกันการเติบโตของการลงทุนในสินทรัพย์ฐาวรของประเทศจีนเติบโตขึ้นในเดือนกันยายน โดยในเดือนมกราคมถึงกันยายนเติบโตขึ้นถึง 5.4% เมื่อเทียบกับการเติบโตในเดือนมกราคมถึงสิงหาคมเพียง 5.3% ส่วนยอดค้าปลีกของจีนในเดือนกันยายนเติบโต 9.2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

บลจ.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นจีนยังคงมีความน่าสนใจแม้ว่าที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า(Trade War) ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ แต่เชื่อว่าจีนมีกระสุนเพียงพอต่อการรับมือ ขณะที่สัดส่วนการส่งออกของจีนไปสหรัฐฯไม่ได้มากนัก

อย่างไรก็ดี Allianz Global Investers ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุน Allianz Global Investers ที่เน้นการลงทุนหุ้นจีนเป็นหลักนั้น มองว่า ประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐไม่ใช่มีประเด็นการค้า แต่เชื่อว่าเป็นประเด็นทางการเมืองมากกว่า เพราะสหรัฐเองส่วนใหญ่บริโภคจากภายในประเทศ และบริษัทแอปเปิล ที่มีการผลิตชิ้นส่วนของ iPhone จากจีนก็ไม่ได้ถูกเก็บภาษีแต่อย่างใด

สำหรับตลาดเอเชีย เป็นโอกาสลงทุนกลุ่มเทคโนโลยี เลือกลงทุนหุ้นที่สามารถอยู่รอดจากการ Disrubtion ขณะที่ตลาด Emerging Market มอง 12 เดือนข้างหน้ายังมีแนวโน้มค่อนข้างดี ส่วนการจัดสรรการลงทุน (Asset Allocation) ของนักลงทุน หลักสำคัญต้องพิจารณาเงินที่ลงทุนมีวัตถุประสงค์อย่างไร จะได้สามารถเลือกองทุนนโยบายได้ถูกต้องโดยหากต้องการลงทุนระยะยาว การลงทุนตลาดทุนก็จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงแต่ความเสี่ยงก็สูง แต่หากมีเป้าหมายการลงทุนแล้วในระหว่างทางตลาดผันผวนก็จะไม่ตกใจ

อีกทั้งเรื่องอายุของผู้ลงทุนก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึงด้วย ซึ่งจะปรับความเสี่ยงตามอายุได้เหมาะสมรวมทั้งสถานะของผู้ลงทุนที่เปลี่ยนไป อาทิ จากโสดมามีครอบครัวการลงทุนก็เปลี่ยนไป และควรจะมีการปรับพอร์ตหรือทบทวนทุก 6 เดือน ถึง 1 ปี  ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยก็ยังมีปัจจัยเรื่องการเลือกตั้ง และผลกระทบจาก Trade War

Back to top button