หุ้นเอเชียแดงเถือกรับอรุณ! Nikkeiนำร่องร่วง 3.37% เฝ้าระวังหุ้นไทย”โลว์เดิม”ปีนี้1,584จุด

สืบเนื่องจากวานนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดที่ 1,623.37 จุด ลดลง 35.19 จุด หรือ 2.12% มูลค่าการซื้อขาย 65,323 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 1 เดือนครึ่ง โดยดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน แตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,647.90 จุด และแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,618.82 จุด

ขณะที่วันนี้ ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงอย่างหนัก โดย ณ เวลา 09.07 น. โดยดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับ 21,346.57 จุด ลดลง 744.61 จุด ลดลง 3.37% 

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนอยู่ที่ระดับ 2,552.83 จุด ลดลง 50.47 จุด ลดลง 1.94%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงอยู่ที่ระดับ 24,719.14 จุด ลดลง 530.64 จุด ลดลง 2.10%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันอยู่ที่ระดับ 9,528.46 จุด ลดลง 230.94 จุด ลดลง 2.37%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีอยู่ที่ระดับ 2,036.75 จุด ลดลง 60.83 จุด ลดลง 2.90%

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์อยู่ที่ระดับ 2,994.02 จุด ลดลง 38.06 จุด ลดลง 1.26%

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียอยู่ที่ระดับ 1,674.12 จุด ลดลง 15.92 จุด ลดลง 0.94%

 

ด้านนายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจัยต่างประเทศยังคงกดดันตลาดหุ้นไทย และมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับลงไปต่อ และไปแตะจุดต่ำสุดเดิมที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา คือ 1,584 จุด

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าเปิดตลาดขึ้นมาดัชนีอาจจะปรับลงต่อ และดีดตัวขึ้นมา แต่เป็นการปรับขึ้นมาแบบชั่วคราว ก่อนที่จะลงไปได้อีก โดยในวันนี้ (25 ต.ค.) จะมีเรื่องของฟอร์ซเซล เข้ามากดดันตลาดหุ้นด้วยแน่นอน

ขณะเดียวกัน ประเด็นสงครามการค้าถือว่าหนักมาก ล่าสุดหลายประเทศออกมายอมรับแล้วว่าได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ล่าสุดของประเทศไทยได้ออกมายอมรับเช่นกัน อาทิ ปูนซิเมนต์ไทย ที่ออกมายอมรับว่าไตรมาส 4 นี้ ผลประกอบการจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าแน่นอน

 

ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวลดลงทั่วหน้า รับแรงกดดันจากหลายปัจจัยจากนอกประเทศ อาทิ สงครามการค้า, แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาก

อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงมามากแล้ว จึงไม่น่าจะลงเกิน 1,600 จุด ซึ่งถ้ามองตามเหตุตามผลวันนี้ (25 ต.ค.) น่าจะรีบาวด์ โดยให้แนวรับวันนี้ที่ 1,610 จุด และแนวต้านที่ 1,640 จุด