ตลท.สั่งพักซื้อขายหุ้น TFI ปมผู้สอบฯไม่แสดงความเห็นงบฯไตรมาส 3

ตลท.แขวนป้าย SP หุ้น TFI สั่งพักซื้อขาย 1 วัน หลังผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นงบฯไตรมาส 3

15 พ.ย. 2561

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ขึ้นเครื่องหมาย ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นการชั่วคราว (SP) และเครื่องหมาย NP (บริษัทจดทะเบียนมีข้อมูลที่ต้องรายงานและตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างรอข้อมูลจากบริษัท) หุ้นบริษัท ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TFI โดยขึ้นเครื่องหมายตั้งแต่วันนี้ (15 พ.ย.) และจะทำการปลดเครื่องหมาย 16 พ.ย. 2561

โดยการขึ้นเครื่องหมายดังกล่าวสืบเนื่องจากกรณีที่ TFI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3/2561 โดย ผู้สอบบัญชีไม่ให้ข้อสรุปต่องบการเงินของบริษัทงวด 30 กันยายน 2561 ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต.อาจสั่งการให้บริษัทแก้ไขงบการเงินได้

ทั้งนี้ บริษัทได้ชี้แจงว่า ตามที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินระหว่างกาลสำหรับงวดสามเดือนและงวดเก้าเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 ของบริษัท นั้น เนื่องจากผู้สอบบัญชีไม่อาจให้ข้อสรุปถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของกิจการจากผลกระทบของการที่บริษัทฯ ถูกฟ้องคดี

อนึ่งบริษัทฯ ถูกธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งฟ้องคดีตามสัญญาจำนำหุ้นที่ออกให้ค้ำประกันแก่บริษัทร่วม (บริษัท ไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันศาลล้มละลายกลางพิพากษาให้ล้มละลาย เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2560 สัดส่วนเงินลงทุนของบริษัทฯ ในบริษัทร่วมร้อยละ 18.96 ซึ่งบริษัทฯ ได้ตั้งสำรองค่าเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนไว้เต็มจำนวนแล้วตั้งแต่ปี2550 จึงไม่มีผลกระทบต่องบการเงิน อีกต่อไป) วงเงิน 600 ล้านบาท โดยสัญญาจำนำหุ้นเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2546 โดยระบุวันที่ครบกำหนด 4 ปี นับแต่วันที่สัญญาจำนวนหุ้นเท่ากับวันที่สิ้นสุดภาระจำนำตั้งแต่วันที่ 14 มกรำคม 2550 แต่ปรากฏว่าภายหลังสัญญาจำนำสิ้นสุดแล้ว ธนาคารพาณิชย์แห่งนี้กลับนำสัญญาจำนำดังกล่าวมาฟ้องคดีต่อบริษัทฯ เป็นจำเลย ที่ 3 ณ ศาลแพ่ง และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้ำระหว่างประเทศกลาง

ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจากผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ของคดีในข้อ 1. ให้บริษัทฯ รับผิดชอบเท่าที่บังคับจำนำหุ้นได้ ซึ่งหุ้นที่จำนำบริษัทได้ตั้งสำรองค่าเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนไว้เต็มจำนวนแล้ว บริษัทจึงไม่มีการตั้งสำรองค่าความเสียหายจากคดีความ อย่างไรก็ตามผู้สอบบัญชีเห็นว่าการดำเนินงานของบริษัทฯ ขึ้นอยู่กับผลการพิพากษาของศาลฏีกา จึงเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของบริษัทฯ