BJC บวกคึก 3% ลุ้นรายได้ปีนี้พุ่งเฉียด 1.8 แสนลบ. รับผลดีมาตรการรัฐหนุนยอดขายโต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ปิดที่ระดับ 54.25 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 2.84%  สูงสุดที่ระดับ 55 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 53.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 453.41 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ นายรามี บีไรเนน ผู้อำนวยการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ BJC เปิดเผยว่า บริษัทยังคงมั่นใจรายได้ปีนี้มีโอกาสที่จะเติบโตได้มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 7-9% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.64 แสนล้านบาท โดยมาจากการเติบโตในทุกธุรกิจ ทั้งธุรกิจค้าปลีก BIGC ธุรกิจแก้วกระป๋อง ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคและธุรกิจเวชภัณฑ์เทคนิค

โดยในส่วนของธุรกิจค้าปลีกภายใต้ BIGC มียอดการเติบโตของสาขาเดิม (SSSG) ในช่วง 9 เดือนแรกที่ 0.9% คาดว่าทั้งปีจะยังเป็นบวก จากภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังได้รับปัจจัยบวกจากภาครัฐมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ ช็อปช่วยชาติ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) คาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้ยอดขายของบริษัทเติบโตขึ้น

นายรามี กล่าวเพิ่มเติมว่า อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนที่ 19.1% โดยบริษัทได้เน้นการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีรวมไปถึงยอดขายในแต่ละธุรกิจมีการเติบโตได้ดี

ในส่วนของแผนการดำเนินงานปี 62 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค. นี้ แต่เบื้องต้นบริษัทคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ตามกการขยายตัวของทุกธุรกิจ โดยเฉพาะการขยายสาขาของ BigC

นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมออกหุ้นกู้ในปี 62 ราว 3.8 หมื่นล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอน และเพื่อเป็นการลดต้นทุนทางการเงินที่เฉลี่ยที่ในระดับ 3% โดยจะแบ่งการเสนอขายออกเป็น 2 ช่วง คือในเดือน มี.ค.มูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท และเดือนก.ย.มูลค่า 2.2 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยที่ 1.5 แสนล้านบาท มีระดับอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 1.37 เท่า

นอกจากนี้ BJC แจ้งข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. วันนี้ (3 ธ.ค.61) ว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 61 มีมติให้บริษัท บิ๊กซี รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของ BJC เข้าซื้อหุ้นสามัญบริษัท ไวท์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ WG จำนวนรวมทั้งสิ้น 8.97 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 50.24 ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของกิจการ และสิทธิออกเสียงของกิจการ ในราคาหุ้นละ 180 บาท เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 61

ทั้งนี้ ทำให้ผู้ทำคำเสนอซื้อมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของกิจการตามที่เหลือทั้งหมด 8.88 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 49.76 ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของกิจการ และสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ในราคาหุ้นละ 180 บาท หรือคิดเป็นมูลค่า 1.6 พันล้านบาท โดยมีระยะเวลารับซื้อรวมทั้งสิ้น 25 วันทำการหรือตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.61 ถึงวันที่ 11 ม.ค.62