สรุปภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศ
สรุปภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศประจำวันที่ 11 ธ.ค. 2561
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะปล่อยให้หน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลต้องถูกปิดลง หรือชัตดาวน์ หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐและเม็กซิโก นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองในอังกฤษยังสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นนิวยอร์กด้วยเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,370.24 จุด ลดลง 53.02 จุด หรือ -0.22% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,636.78 จุด ลดลง 0.94 จุด หรือ -0.04% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,031.83 จุด เพิ่มขึ้น 11.31 จุด หรือ +0.16%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า การเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนจะสามารถคลี่คลายข้อพิพาทการค้าระหว่างสองประเทศได้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ให้คำมั่นที่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและลดหย่อนภาษี เพื่อคลี่คลายวิกฤตม็อบเสื้อกั๊กเหลือง
ดัชนี Stoxx Europe 600 พุ่งขึ้น 1.5% ปิดที่ 344.18 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,806.20 จุด เพิ่มขึ้น 63.82 จุด หรือ +1.35% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,806.94 จุด เพิ่มขึ้น 85.40 จุด หรือ +1.27% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,780.51 จุด เพิ่มขึ้น 158.44 จุด หรือ +1.49%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องของเงินปอนด์ได้ช่วยหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติดีดตัวขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนคาดหวังว่า การเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนจะสามารถคลี่คลายข้อพิพาทการค้าระหว่างสองประเทศได้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,806.94 จุด เพิ่มขึ้น 85.40 จุด หรือ +1.27%
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า ลิเบียเผชิญปัญหาการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ หลังจากกลุ่มติดอาวุธได้เข้ายึดบ่อน้ำมันเอล ชารารา ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ รวมทั้งข่าวรัสเซียวางแผนปรับลดการผลิตน้ำมันในเดือนหน้า
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 65 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 51.65 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 23 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 60.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าได้สร้างแรงกดดันต่อตลาด อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดในระหว่างวัน
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 2.20 ดอลลาร์ หรือ 0.18% ปิดที่ 1,247.20 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 2.3 เซนต์ หรือ 0.16% ปิดที่ 14.628 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 3.4 ดอลลาร์ หรือ 0.43% ปิดที่ 785.50 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. พุ่งขึ้น 18.60 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 1,177.30 ดอลลาร์/ออนซ์
เงินปอนด์ร่วงลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) เนื่องจากความไม่แน่นอนของการที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ผู้นำเยอรมนีและผู้นำสหภาพยุโรป (EU) ได้ปิดทางเจรจาข้อตกลง Brexit ต่อนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2528 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2557 ดอลลาร์ ขณะที่ยูโรอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.1326 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1352 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 0.7205 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7185 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.39 เยน จากระดับ 113.20 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9928 ฟรังก์ จากระดับ 0.9897 ฟรังก์ อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3396 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3411 ดอลลาร์แคนาดา