(คลิป) “ดร.เกษม” ผู้ก่อตั้งKPN วัย 83ปี พูดชัดถูกปลอมลายเซ็นโอนหุ้นฉาว”วินด์เอนเนอร์ยี่”!
(คลิป)"ดร.เกษม" ผู้ก่อตั้ง KPN วัย 83ปี พูดชัดถูกปลอมลายเซ็นโอนหุ้นฉาว"วินด์เอนเนอร์ยี่"!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเกษม ณรงค์เดช ประธานกิตติมศักดิ์ กลุ่มบริษัท เคพีเอ็น จำกัด ได้มีการบันทึกคลิปวิดีโอเพื่อยืนยันต่อกรณีของคดีความการฟ้องร้องในข้อหาปลอมแปลงลายเซ็นในการโอนหุ้น บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH ตามเนื้อหาในคลิปต่อไปนี้
ทั้งนี้ นายเกษม ระบุว่า “ข้าพเจ้า นายเกษม ณรงค์เดช ตอนนี้อายุ 83 ปี เกิดในพ.ศ.2479 เดือนเมษายน วันที่ 24 ปัจจุบันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มีการปลอมลายเซ็นของข้าพเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งของบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ และ บริษัท โกลเด้นมิวสิคที่ฮ่องกง ครั้งแรกนึกว่าจะมีอยู่นิดหน่อย แต่ว่ายิ่งนานเข้ายิ่งรู้สึกว่ามันจะมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเอกสารเหล่านั้นข้าพเจ้าไม่เคยเห็นและไม่เคยเซ็นมาก่อน ก็อยากจะขอให้เก็บข้อมูลนี้ไว้ เผื่อจะมีผู้ที่ไม่ประสงค์ดี กระทำการปลอมลายเซ็นอีกต่อไป”
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ (12 ธ.ค.61) นายเกษม ณรงค์เดช บิดาของนายณพ ณรงค์เดช พร้อมด้วยนายกฤษณ์ ณรงค์เดช (พี่ชายคนโต) และนายกรณ์ ณรงค์เดช (น้องชายคนสุดท้อง) ตั้งโต๊ะออกแถลงข่าวร่วมกันพร้อมด้วยทีมทนายความ ต่อกรณีของคดีความการฟ้องร้องในข้อหาปลอมแปลงลายเซ็นในการโอนหุ้น WEH
โดยนายเกษม ณรงค์เดช ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท เคพีเอ็น พร้อมด้วยทนายความสำนักงานกฎหมายเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ชี้แจงว่าได้มีการปลอมแปลงลายเซ็นของตนในการมอบอำนาจ และโอนหุ้นที่ถือครองอยู่ใน วินด์ เอนเนอร์ยี่ ให้กับ คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา โดยเป็นการร่วมมือกันระหว่าง นายณพ ณรงค์เดช และ นายสุรัตน์ จิรจรัสพร ซึ่งมีการกล่าวอ้างว่าตนเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในสถานะไม่สมบูรณ์พร้อม และไม่สามารถควบคุมดูแลกิจการต่อไปได้
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายณพ ได้ยื่นข้อเสนอต่อครอบครัวให้เข้าร่วมลงทุนในธุรกิจพลังงาน ซึ่งทางครอบครัวณรงค์เดช ได้อนุมัติเงินเข้าลงทุนประมาณ 2,900 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้นจากเจ้าของเดิมคือ Symphony Partners Limited จำนวน 49 % จาก Dynamic Link Ventures Limited จำนวน 24.42 % และ Next Global Investments Limited จำนวน 24.53 % ซึ่งบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 3 แห่งนั้นจดทะเบียนในฮ่องกง และเป็นบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่ใน Renewable Energy Corporation หรือ REC (ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH)
ทั้งนี้ ต่อมาได้เกิดกรณีพิพาทระหว่างนายณพ ณรงค์เดช และนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมในช่วงเดือน กรกฎาคม – สิงหาคม 2558 ทำให้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงครอบครัวณรงค์เดช ตลอดจนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ถือหุ้น วินด์ เอนเนอร์ยี่ ซึ่งได้มีการฟ้องร้องในหลายข้อหาตามมาอีกหลายครั้ง
โดย ในช่วงต้นปี 2561 นายเกษมและนายกฤษณ์ ได้รับหมายศาลว่าตนถูกฟ้อง เป็นคดีอาญาร่วมกับนายณพ ฐานโกงเจ้าหนี้ สืบเนื่องจากการที่นายณพ ไปผิดสัญญาซื้อขายหุ้นและไม่ชำระเงินค่าหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ทั้งยังดำเนินการให้มีการยักย้ายจำหน่ายจ่ายโอนหุ้นวินด์เอ็นเนอร์ยี่ออกไปยังที่ต่าง ๆ ซึ่งการถูกฟ้องร้องเป็นคดีความดังกล่าวสร้างความกังวลและนำมาซึ่งความเสียหายต่อชื่อเสียงของครอบครัวณรงค์เดชเป็นอย่างมาก ครอบครัวจึงได้ออกแถลงการณ์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
“ผมขอยืนยันว่าเอกสารการโอนหุ้นทั้งหมดที่ปรากฏในสื่อที่นายณพ นำมาแสดงนั้นเป็นเอกสารเท็จที่ปลอมแปลงขึ้นมาทั้งสิ้น ซึ่งจากการตรวจรับรองสุขภาพของศูนย์โรงพยาบาลกรุงเทพนั้น ทางคณะแพทย์ได้ให้ใบรับรองลงความเห็นในใบประเมินสุขภาพเมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2561 ว่ามีความปกติทุกประการ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติวิสัย สามารถทำนิติกรรมทุกอย่างได้ และสามารถเขียนลายมือชื่อของตนเองได้ตามปกติ ไม่ได้หลงลืมหรือป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม และลายเซ็นการโอนหุ้นให้แก่ คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ที่ปรากฏในสื่อตามที่นายณพ นำมาแสดงนั้นเป็นหลักฐานปลอมที่นายณพและพวกร่วมกันสร้างขึ้นทั้งสิ้น” นายเกษมกล่าว
สำหรับลายมือชื่อที่ปรากฏในเอกสารทั้งหมดนั้น นอกจากนายเกษมจะยืนยันว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของตนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของศาลยุติธรรมที่มีประสบการณ์ในด้านการตรวจพิสูจน์เอกสารมานานถึง 48 ปีติดต่อกัน ได้มีความเห็นยืนยันว่าลายมือชื่อที่ปรากฏอยู่ในเอกสารเหล่านั้นไม่ใช่ลายมือชื่อของนายเกษม
ขณะที่คดีอาญาที่นายเกษม ฟ้องคุณหญิงกอแก้ว นายณพ และนายสุรัตน์ ในฐานความผิดร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น ครอบครัวณรงค์เดชและทนายความได้ชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า คดีความดังกล่าวเป็นคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและศาลใช้เวลาในการไต่สวนพยาน 2 วัน ไม่ใช่หลายเดือนตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งคำพิพากษาของศาลก็ไม่ได้กล่าวว่าลายมือชื่อ ของนายเกษมในเอกสารพิพาทเป็นลายมือชื่อจริง โดยนายเกษมได้มอบหมายให้ทนายความเตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวต่อศาลแล้ว