TOP ร่วงกว่า 3% หลังค่าการกลั่นต่ำ-สต็อกน้ำมันสูง กดกำไรปี 61 หดตัว

TOP ร่วงกว่า 3% หลังค่าการกลั่นต่ำกดกำไรปี 61 หดตัว ล่าสุด ณ เวลา 12.09 น. อยู่ที่ระดับ 70 บาท ปรับตัวลดลง 2.25 บาท หรือ 3.11% สูงสุดที่ระดับ 72.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 69.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขา 521.52 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ล่าสุด ณ เวลา 12.09 น. อยู่ที่ระดับ 70 บาท ปรับตัวลดลง 2.25 บาท หรือ 3.11% สูงสุดที่ระดับ 72.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 69.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขา 521.52 ล้านบาท

โดย นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้น บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เช้านี้ปรับตัวลง คาดว่าจะเป็นแรงขายของนักลงทุน ภายหลังจากที่ค่าการกลั่นลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำ  พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 65 บาท ส่วนแนวต้าน 80 บาท

ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายชัชชัย สิริวิชช์ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ TOP เปิดเผยว่า บริษัทคาดกำไรสุทธิปี 61 มีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงจากปี 60 ที่มีกำไรสุทธิ 24,856 ล้านบาท หลังจากช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ทำกำไรสุทธิได้เพียง 14,961 ล้านบาท เนื่องจากในปี 60 ถือเป็นปีที่ดีของบริษัทเพราะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันจำนวนมาก และผลิตภัณฑ์ของบริษัทก็มีมาร์จิ้นที่สูง

สำหรับแนวโน้มค่าการกลั่น (GRM) ในไตรมาส 4/61 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีโอกาสจะยืนต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1/62 ซึ่งจะสูงกว่าระดับ 5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงไตรมาส 3/61 เนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปีถือเป็นช่วงที่มีความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้นในฤดูหนาว และรับอานิสงส์การเดินทางที่ส่งผลให้มีการใช้น้ำมันอากาศยานด้วย ทำให้คาดว่ากำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ในปี 62 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 7-8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากแนวโน้มค่าการกลั่นปรับตัวได้ดีขึ้น

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project :CFP) มูลค่าลงทุน 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดจะเริ่มก่อสร้างในปี 62 และจะแล้วเสร็จในปี 66 ซึ่งโครงการนี้จะช่วยเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 275,000 บาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้คาดว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นปีละ 900 ล้านเหรียญสหรัฐ จากปัจจุบันที่บริษัทมี EBITDA ประมาณ 900 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

ขณะที่การจัดหาผู้ที่สนใจลงทุนหน่วยผลิตไฟฟ้า (Energy Recovery Unit:ERU) ซึ่งมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 250 เมกะวัตต์ (MW) และไอน้ำเพื่อป้อนให้กับกระบวนการผลิตของโครงการ CFP คาดว่าจะได้ข้อสรุปของผู้ลงทุนในช่วงต้นปี 62

ทั้งนี้ มองว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในปี 62 บริษัทคาดจะอยู่ที่ระดับ 70-75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานด้านความต้องการบริโภคน้ำมันที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามต้องจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันที่ 6 ธ.ค.นี้ โดยหลายฝ่ายคาดว่าจะมีการปรับลดกำลังการผลิต เพื่อให้เกิดความสมดุลของภาวะตลาดราคาน้ำมันดิบ

 

 

Back to top button