BGRIM บวก 3% สวนตลาดฯ โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” ชูเป้า 35 บ. คาดกำไรโตต่อเนื่อง

BGRIM บวก 3% สวนตลาดฯ โบรกฯเชียร์ "ซื้อ" ชูเป้า 35 บ. คาดกำไรโตต่อเนื่อง โดย ณ เวลา 15.08 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 26.75 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 2.88% สูงสุดที่ระดับ 27 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 26.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 114.99 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ณ เวลา 15.08 น. อยู่ที่ระดับ 26.75 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 2.88% สูงสุดที่ระดับ 27 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 26.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 114.99 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีโดยรวมลบ 0.16%

ด้าน บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ (13 ธ.ค61) แนะนำ “ซื้อ” BGRIM ราคาเป้าหมาย 35 บาท/หุ้น โดยปัจจุบัน BGRIM มีกำลังการผลิตราว 2,076 MW คิดเป็น 1,217 MWe ตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยในปี 65 กำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 3,126 MW คิดเป็นการเติบโตต่อปีราว 10.77% ต่อปี (ตั้งแต่ปี 61 ถึงปี 65) จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ที่ 2,450 MW ซึ่งมาจากการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Phuyen และ Dau Tieng ในประเทศเวียดนามขนาดกำลังการผลิต 420 MW และ 257 MW ตามลำดับ

โดยทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 62 และ 63 ตามลำดับ ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง ทางฝ่ายเชื่อว่าโครงการดังกล่าวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการลุยลงทุนในต่างแดนของ BGRIM โดยคาดว่าหลังจากนี้เป็นต้นไปจะเห็นการเข้าลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่องทั้ง เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย และ ลาว ซึ่งจะเป็น Upside ส่วนเพิ่มต่อราคาพื้นฐานต่อไป

 

ทั้งนี้ ทางฝ่ายเชื่อว่ายังมีอีกหลายประเทศที่ BGRIM ยังสามารถออกไปตามล่ากำลังการผลิตใหม่ เช่น การพัฒนาเขื่อนในประเทศลาวกว่า 100 MW ที่ปัจจุบันได้รับสัญญา PDA เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาและก่อสร้าง การเข้าไปทำธุรกิจสายส่งในประเทศกัมพูชาที่มีอัตรากำไรสูงกว่า 15% การจัดตั้งบริษัทย่อยในมาเลเซียเพื่อจุดประสงค์ของการเข้าทำ M&A และพลิกฟื้นโรงไฟฟ้าที่กำลังมีปัญหา โดยโครงการเหล่านี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยทางฝ่ายมองเป็น Upside ส่วนเพิ่ม

โดยทางฝ่ายมองอัตรากำไรจากการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นในปี 62 จากในปัจจุบันอัตรากำไรยังถูกกดดันจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติและน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่ราคาค่า Ft. ต่อหน่วยไม่ได้ปรับตัวขึ้นตาม อย่างไรก็ตามทางฝ่ายมองว่าค่า Ft. มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งเพื่อสะท้อนราคาต้นทุนเชื้อเพลิงมากขึ้น

อีกทั้ง ต้นทุนทางการเงินปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากการออกหุ้นกู้มูลค่ากว่า 9,700 ลบ. โดยมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ 4.18% เพื่อ Refinance เงินกู้ชุดเดิมส่งผลให้ภาพรวมต้นทุนทางการเงินลดลงมาที่ 4.6% จาก 4.7% ส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิราว 56 ลบ.

อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายมองกำไรปี 62 และปี 63 ที่ 3,267 ลบ. และ 3,923 ลบ. เติบโต 13% และ 20% ตามลำดับ เป็นผลมาจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 โครงการขนาดกำลังการผลิต 677 MW สนับสนุนกำไรสุทธิปี 62 ราว 550 ลบ. และ 645 ลบ. ในปี 63 (บริษัทฯ ถือหุ้นในโครงการ Phuyen 80% และโครงการ Dua Tieng 55%) และ โครงการโรงไฟฟ้า ABP1 Extension ขนาดกำลังการผลิต 166 MW สนับสนุนกำไรสุทธิปี 63 ราว 110 ลบ. ตามสัดส่วนการถือหุ้น 55% นอกจากนั้นยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก (Namche 15 MW และ Interchem 5 MW) ที่จะเข้าเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 62 อีกด้วย

ทั้งนี้ ทางฝ่ายคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 62 ที่ 35 บ./หุ้น อิง SOTP ใช้ WACC ที่ 5.73% มูลค่าหลักมาจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังก๊าซธรรมชาติ 23 บ./หุ้น และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอีก 12 บ./หุ้น โดยยังคงเหลือ Upside กว่า 35% โดยทางฝ่ายมองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันยังไม่ได้สะท้อนถึงโครงการในอนาคตแม้แต่น้อย อีกทั้งทิศทางของราคาหุ้นในระยะสั้นยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในต้นปี 62 เพื่อรับข่าวดีจากการประกาศขึ้นค่า Ft. ของ กกพ.อีกด้วย

Back to top button