ครม.เห็นชอบร่างพ.ร.ฎเวนคืนที่ดินเส้นทางก่อสร้างรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน

ครม.เห็นชอบร่างพ.ร.ฎเวนคืนที่ดินเส้นทางก่อสร้างรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน


นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้(2ม.ค.)ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม ได้เสนอการเวนคืนที่ดิน เนื่องจากมีความจำเป็นต้องก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (27 มีนาคม 2561) อนุมัติโครงการฯ แล้ว อันจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางรถไฟ ลดระยะเวลาการเดินทาง และประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงที่ใช้ในภาคการขนส่งของประเทศ ลดปัญหามลพิษที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้บริการระบบขนส่งทางรางรถไฟให้มากยิ่งขึ้น และเพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor (EEC)) ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญและกำหนดให้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน อยู่ในกรอบการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (EEC Project List)

โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ประกอบด้วย (1) โครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงค์เดิม คือช่วงพญาไทถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (2) โครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ส่วนต่อขยาย ช่วงพญาไทถึงท่าอากาศยานดอนเมือง และ (3) โครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ (บริเวณสถานีรถไฟแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ลาดกระบัง) ถึงท่าอากาศยานอู่ตะเภา รวมระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบรายละเอียด และจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ โดยได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียกับโครงการดังกล่าว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวเห็นว่า มีความจำเป็นต้องก่อสร้างย่านสถานี ทางเข้าออกสถานี ทางรถไฟ และดำเนินกิจการที่เป็นประโยชน์แก่กิจการรถไฟตามโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน หรืออยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง รฟท. ในท้องที่ดังกล่าว

โดยมีที่ดินที่จะต้องเวนคืนประมาณ 850 – 0 – 04.82 ไร่ และสิ่งปลูกสร้างประมาณ 245 หลัง จึงมีความจำเป็นต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เพื่อให้โครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนการที่กำหนดไว้ รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค

ทั้งนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน โดยมีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการภายในระยะเวลา 4 ปี ตามที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ

กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ตามแบบฟอร์มที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2561 ประกอบด้วย รายละเอียดโครงการ แผนบริหารจัดการโครงการเพื่อจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และส่งมอบพื้นที่ให้ทันตามแผนงานก่อสร้างโครงการฯ ประมาณการรายจ่ายตามกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี แหล่งเงินที่ใช้ตลอดระยะเวลาดำเนินการ และประโยชน์ที่จะได้รับ

ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีสาระสำคัญ คือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงคลองสามประเวศ แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ตำบลหนองปรือ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ตำบลบางเตย ตำบลวังตะเคียน ตำบลท่าไข่ ตำบลบางขวัญ ตำบลบ้านใหม่ ตำบลบางไผ่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ตำบลบ้านสวน ตำบลหนองข้างคอก ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมืองชลบุรี ตำบลบางพระ ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา ตำบลนาเกลือ ตำบลหนองปรือ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง ตำบลนาจอมเทียน ตำบลบางเสร่ ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และตำบลสำนักท้อน ตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อก่อสร้างย่านสถานี ทางเข้าออกสถานี ทางรถไฟ และดำเนินกิจการที่เป็นประโยชน์แก่กิจการรถไฟ ตามโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน หรืออยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งการรถไฟแห่งประเทศไทย

นอกจานี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

Back to top button