LANNA เล็งลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินพม่า-เขมร พร้อมลุยโรงไฟฟ้าขยะในปท.

LANNA เล็งลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินพม่า-เขมร พร้อมลุยโรงไฟฟ้าขยะในปท.


นายสีหศักดิ์ อารีราชการัณย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA เปิดเผยว่า สำหรับแผนลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเดิมทั้งถ่านหินและเอทานอลว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาเพื่อเข้าร่วมทุนกันพันธมิตรตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินในเมียนมาร์ รวมทั้งศึกษาการลงทุนโรงไฟฟ้าในกัมพูชา ซึ่งอาจเป็นรูปแบบของสัมปทาน

พร้อมกันนั้น ยังเตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนตั้งโรงไฟฟ้าขยะขนาด 3-8 เมกะวัตต์ในประเทศ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและหาผู้ร่วมทุน โดยบริษัทจะเป็นผู้ถือหุ้นหลัก คาดว่าจะได้ข้อสรุปชัดเจนในไตรมาส 3/58 ซึ่งน่าจะใช้เงินลงทุนไม่มากในหลัก 100 ล้านบาท

ส่วนในอนาคตก็จะมีธุรกิจไฟฟ้าเข้ามาเสริมอีกทางหนึ่ง แต่คงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ก่อนหน้านี้บริษัทมองการลงทุนโรงไฟฟ้าในอินโดนีเซียและในภูมิภาค และให้ความสำคัญกับโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งบริษัทได้เจรจากับพันธมิตรเพื่อเข้าลงทุน เนื่องจากปัจจุบันอินโดนีเซียมีนโยบายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 35,000 เมกะวัตต์ โดยจะเปิดประมูลกำลังการผลิตโครงการละ 150-300 เมกะวัตต์         

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีถ่านหินและเอทานอล ตอนนี้พยายามจะไปทำไฟฟ้า โดยที่ไฟฟ้ายังมีความเป็นถ่านหินอยู่ในฐานะที่เราเป็นซัพพลายเออร์ และจะไปกับ partner ที่จะเห็นก่อนน่าจะร่วมกับพันธมิตรที่อินโดฯ

ส่วนปีหน้าเมื่อเริ่มทำธุรกิจใหม่ก็คงจะช่วยหนุนผลประกอบการได้ และในอนาคตธุรกิจถ่านหินก็จะไม่ bright แล้ว แต่คงไม่ถอดใจ ตอนนี้กำไรมาจากธุรกิจถ่านหินและเอทานอลใกล้เคียงกัน ก็หวังว่าในอนาคตธุรกิจไฟฟ้าจะเป็นธุรกิจที่ใหญ่และ contribute บริษัทแม่ได้ดีรายได้อาจจะเข้ามาราว 30%

สำหรับธุรกิจถ่านหินในปีนี้นั้น บริษัทเตรียมปรับลดเป้าหมายปริมาณขายถ่านหินในปีนี้ลงราว 7-8 แสนตัน จากเดิมตั้งเป้าขายที่ 6 ล้านตัน เนื่องจากอาจจะลดการผลิตถ่านหินจากเหมือง SGP ลงหลังเผชิญภาวะขาดทุนจากราคาถ่านหินที่อยู่ระดับต่ำ โดยอยู่ระหว่างจัดทำแผนการผลิตใหม่เพื่อผลักดันให้เหมืองดังกล่าวกลับมาทำกำไรได้ ส่วนธุรกิจเอทานอลเชื่อว่าจะทำกำไรในปีนี้ได้ดีกว่าปีก่อน พร้อมศึกษาลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงธุรกิจในอนาคต

โดยจากเดิมบริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณขายถ่านหินจากเหมือง SGP ในปีนี้ราว 2.5-2.7 ล้านตัน และเหมือง LHI ราว 3-3.5 ล้านตัน แต่อาจลดกำลังผลิตจากเหมือง SGP ลง 7-8 แสนตัน เหลือผลิตเพื่อขายเพียง 2 ล้านตัน เนื่องจากในไตรมาส 1/58 เหมือง SGP เผชิญภาวะขาดทุนแล้วหลังจากราคาถ่านหินในตลาดโลกยังปรับตัวลงต่อเนื่อง ดังนั้น ฝ่ายบริหารจัดการจึงอยู่ระหว่างการพิจารณาลดปริมาณการผลิตลงเพื่อประคองไม่ให้ปีนี้เกิดผลขาดทุน

ทั้งนี้ บริษัทประเมินว่าราคาถ่านหินยังเป็นขาลง โดยในช่วงครึ่งแรกปี 59 คาดว่าจะปรับลงมาอยู่ที่ 52-56 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 60-62 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ราคาเฉลี่ยในปีที่แล้วอยู่ที่ 70.82 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งเป็นผลจากภาวะโอเวอร์ซัพพลายในตลาด โดยเห็นว่าระดับราคาถ่านหินที่ต่ำกว่า 60 เหรียญสหรัฐ/ตันอาจทำให้มีผู้ประกอบการเหมืองบางรายต้องหยุดการผลิต ขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียก็มีแผนจะควบคุมปริมาณการผลิตถ่านหินของประเทศให้ลดลงราว 50 ล้านตันเพื่อรักษาระดับราคาถ่านหินไม่ให้ตกต่ำไปกว่านี้

ส่วนความคืบหน้าในการซื้อเหมืองถ่านหินใหม่ในอินโดนีเซียขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากราคาถ่านหินปรับลงไปอีก ทำให้ต้องกลับไปเจรจาใหม่ เพราะจากเดิมที่เจรจาไว้ได้รับอัตรากำไร(มาร์จิ้น)พอสมควร แต่ปัจจุบันมาร์จิ้นเหลือน้อยแล้ว จึงต้องกลับไปเจรจาเรื่องราคาอีกรอบเพื่อให้ได้ราคาลดลง โดยเหมืองถ่านหินที่เจรจาซื้อไว้นั้นมีปริมาณสำรอง 30 ล้านตัน อายุ 10 ปี ผลิตได้ปีละ 2-3 ล้านตัน

ส่วนการดำเนินธุรกิจเอทานอลในปีนี้ เชื่อว่าจะยังทำกำไรให้กับบริษัทได้ดีกว่าปีก่อน โดยตั้งเป้าปริมาณขายไว้ที่ 105 ล้านลิตร และในไตรมาสแรกขายได้แล้ว 27 ล้านลิตร เติบโต 9.9% จากงวดเดียวกันปีก่อน ได้ราคาเฉลี่ย 25.64 บาท/ลิตร แต่แนวโน้มไตรมาส 3/58 ราคาอาจปรับลงเล็กน้อย หรือขายได้ไม่ถึง 25 บาท/ลิตร

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้กลุ่มบริษัทมีการบริหารจัดการวัตถุดิบได้ดีขึ้น เพราะซื้อน้ำตาลดิบเข้ามาเสริมทำให้คาดว่าคงไม่ต้องหยุดการผลิตโรงงานเอทานอล ส่วนการศึกษาใช้น้ำเชื่อมเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอลนั้นยังคงศึกษาความเป็นไปได้อยู่ โดยเบื้องต้นเห็นว่าการใช้น้ำเชื่อมเป็นวัตถุดิบจะดีก็ต่อเมื่อวัตถุดิบกากน้ำตาลไม่เพียงพอ ซึ่งคาดว่าคงใช้เวลาอีกนานอาจจะเป็นช่วงปี 61 

Back to top button