เปิดโผ 11 หุ้น “บลูชิพ” ขึ้นช้ากว่าตลาดฯ-โบรกฯแนะสอยเป้ากองทุน-ต่างชาติเข้าเก็บ!
เปิดโผ 11 หุ้น “บลูชิพ” ขึ้นช้ากว่าตลาดฯ-โบรกฯแนะสอยเป้ากองทุน-ต่างชาติเข้าเก็บ!
ภาพรวมตลาดสัปดาห์นี้คาดมีทิศทางการขึ้นได้ต่อ ตามแรงหนุนจากประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน โดยล่าสุดทั้งสองประเทศอยู่ในขั้นตอนของการร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับปัญหาโครงสร้าง 6 ข้อ คือ ปัญหาการบีบบังคับให้ถ่ายโอนเทคโนโลยีและการขโมยทางไซเบอร์, สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา, การบริการต่างๆ, ค่าเงิน และอุปสรรคต่อการค้าและการเกษตรที่ไม่ใช่ภาษี
โดยต้องจับตาสัญญาณจาก ปธน. Trump ที่เข้าร่วมการเจรจาการค้าในสุดสัปดาห์ว่าจะมีสัญญาณเช่นไร เป็นความคาดหวังบวกต่อการบรรลุข้อตกลงทางการค้าก่อนเส้นตาย 1 มี.ค.62 อีกทั้งเป็นโค้งสุดท้ายของการรายงานผลประกอบการไทยปี 2561 นักวิเคราะห์เลยเน้นเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่ไม่เสียเปรียบต้นทุนและพื้นฐานดี
ขณะเดียวกันหากเทียบดัชนีตลาดหุ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2562 อยู่ที่ระดับ 1565.94 จุด จนถึงล่าสุดดัชนีมายืนอยู่ที่ระดับ 1664.37 จุด (27ก.พ.) หรือเพิ่มขึ้น 6.28% ตรงนี้พบว่ามีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นกว่าดัชนีอยู่หลายตัว
ดังนั้นเพื่อให้เห็นหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้ชัดเจน “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมข้อมูลหุ้นดังกล่ามานำเสนอ โดยครั้งนี้จึงเน้นไปหุ้นใน SET50 ที่ยังปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาดโดยอาศัยบทวิเคราะห์ของ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ซึ่งระบุไว้ดังนี้
บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ระในบทวิเคราะห์ว่า กลยุทธ์:แนวโน้มดัชนี SET คาดยังคงมีทิศทางการขึ้นได้ต่อ จากแรงหนุนของดัชนีตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยเฉพาะการเลื่อนเส้นตายการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนออกไปอีก อย่างน้อยตอนนี้ 1 เดือน นอกจากนั้นเป็นแรงหนุนที่เกิดจากปัจจัยภายในอย่างการเลือกตั้งที่เริ่มจะส่งผลต่อตลาด
ดังนั้นแนวโน้มดัชนี SET น่าจะแกว่งตัวตามแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยมองแนวโน้มดัชนีจะแกว่งตัวทั้งแดนบวกและลบ หลังไม่เห็นปัจจัยหนุนใหม่ๆ โดยมองแนวต้านที่ 1675-1678 จุดและแนวรับที่ 1665-1660 จุด
Themes play :Laggard Play : แนะนำ ซื้อเก็งกำไร หุ้นใน SET50 ที่ยังปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาดในช่วงเดือนที่ผ่านมาที่ตลาด (SET) ปรับขึ้น +3% โดยเชื่อว่ากองทุนในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศที่เริ่มเข้ามาทยอยสะสมหุ้นในช่วงนี้ก่อนการเลือกตั้งน่าจะเริ่มหันกลับมาหาหุ้นพื้นฐานดีที่ยัง laggard อยู่หลังจากที่หุ้นหลักหลายกลุ่มปรับขึ้นไปพอสมควรแล้ว โดยหุ้นใน SET50 ที่ปรับขึ้นช้ากว่าตลาด (laggard) ที่น่าสนใจประกอบด้วย
ROBINS -5.1% (CGSCIMB ให้ราคาเป้าหมายที่ 78 บาท)
CPF -1.9% (CGS-CIMB ให้ราคาเป้าหมายที่ 30.25 บาท)
MINT -0.7% (CGS-CIMB ให้ราคาเป้าหมายที่ 43.00 บาท)
BBL 0% (CGS-CIMB ให้ราคาเป้าหมายที่ 238 บาท)
WHA +0.5% (CGS-CIMB ให้ราคาเป้าหมายที่ 4.90 บาท)
TU +0.5% (CGS-CIMB ให้ราคาเป้าหมายที่ 20.80 บาท)
AOT +1.1% (CGS-CIMB ให้ราคาเป้าหมายที่ 80 บาท)
ADVANC +1.4% (CGS-CIMB ให้ราคาเป้าหมายที่ 227 บาท)
BEM +1.9% (CGS-CIMB ให้ราคาเป้าหมายที่ 11.20 บาท)
BJC +2.1% (CGS-CIMB ให้ ราคาเป้าหมายที่ 70 บาท)
KBANK +2.9% (CGS-CIMB ให้ราคาเป้าหมายที่ 244 บาท)
ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ภาพรวมสัปดาห์นี้คาดตลาด “UP” แรงหนุนจากประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน โดยล่าสุด ทั้งสองประเทศอยู่ในขั้นตอนของการร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับปัญหาโครงสร้าง 6 ข้อ คือ ปัญหาการบีบบังคับให้ถ่ายโอนเทคโนโลยีและการขโมยทางไซเบอร์, สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา, การบริการต่างๆ, ค่าเงิน และอุปสรรคต่อการค้าและการเกษตรที่ไม่ใช่ภาษี
โดยต้องจับตาสัญญาณจาก ปธน. Trump ที่เข้าร่วมการเจรจาการค้าในสุดสัปดาห์ว่าจะมีสัญญาณเช่นไร เป็นความคาดหวังบวกต่อการบรรลุข้อตกลงทางการค้าก่อนเส้นตาย 1 มี.ค.หนุนสินทรัพย์เสี่ยง
ส่วนสัปดาห์นี้ เป็นโค้งสุดท้ายของการรายงานผลประกอบการไทย กลยุทธ์การลงทุน: คาดตลาดผ่านต้าน 1667จุด ในสัปดาห์นี้ เน้นเลือกซื้อรายตัว/เลือกตัวที่ไม่เสียเปรียบต้นทุนและพื้นฐานดี
ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน