JCK เล็งขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT มูลค่า 2.5 พันลบ. คาดรับรู้รายได้ไตรมาส 4/62

JCK เล็งขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT มูลค่า 2.5 พันลบ. คาดรับรู้รายได้ไตรมาส 4/62


นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JCK หรือเดิมชื่อ TFD เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2562 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2561 ที่มีผลกำไรจากการดำเนินงานเกือบ 180 ล้านบาท แต่เนื่องจากต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนการกิจการร่วมค้าที่ลงทุนโครงการคอนโด The Artisan ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างประมาณ 93 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีผลกำไรสุทธิในปี 2561 เท่ากับ 85 ล้านบาท

สำหรับปี 2562 คาดว่ารายได้จากการขายที่ดินจะเป็นปัจจัยหลักที่จะสร้างรายได้ และผลักดันผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตต่อเนื่องจากปี 2561 เพราะธุรกิจนิคมฯ มีอัตรากำไรค่อนข้างสูง และปัจจุบันมีลูกค้าที่สนใจซื้อที่ดินโครงการของบริษัทอยู่หลายรายทั้งผู้ประกอบการเดิมที่อยู่ในนิคมฯ และลูกค้ารายใหม่

เนื่องจากโครงการของบริษัทเป็นนิคมฯ ที่ตั้งอยู่ในเขต EEC ประกอบมีโลเคชั่นที่ดี ติดตลอดแนวถนนมอเตอร์เวย์เกือบ 4 กิโลเมตร และติดถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทรา อีกทั้งเป็นนิคมฯ ในเขต EEC ที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุดทำให้ที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี มีความน่าสนใจมากขึ้น

“บริษัทเชื่อมั่นว่าในปี 2562 จะสามารถปิดยอดขายที่ดินในนิคมทีเอฟดี 2 ได้ไม่น้อยกว่า 200 ไร่ และยังได้รับอานิสงส์จากวิกฤตสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ทำให้มีลูกค้ารายใหม่หลายรายจากประเทศจีนที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจย้ายฐานการลงทุนมาไทยอีกเพียบ” นายอภิชัย กล่าว

สำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี 2 นั้น ตอนนี้มีความคืบหน้าไปกว่า 65%และคาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกินไตรมาสที่ 3 ของปี 2562

ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขาย Warehouse 1 แห่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถขายและรับรู้รายได้ไม่เกินกลางปี 2562 โดยมีมูลค่าขายอยู่ประมาณ 700-800 ล้านบาท ส่วนธุรกิจคลังสินค้าในไทยเป็นคลังสินค้าให้เช่า มีแนวโน้มที่ดี โดยคาดว่าในปี 2562 น่าจะปล่อยเช่าพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30,000 ตรม. เมื่อรวมกับพื้นที่เช่าปล่อยเดิมอีกประมาณ 32,000 ตรม. ยอดรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 62,000 ตรม.

ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจะขายคลังสินค้าบางส่วน เข้าไปเป็นสินทรัพย์หลักของกอง REIT ซึ่งน่าจะมีขนาดเสนอขายไม่น้อยกว่า 2,000 – 2,500 ล้านบาท และคาดว่ารายได้ในส่วนนี้ บริษัทจะรับรู้เข้ามาประมาณไตรมาส 4 ปี 2562 หรืออย่างช้าไม่เกินกลางปี 2563

นอกจากนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 บริษัทได้ทำสัญญาซื้อขายโรงงานและคลังสินค้าที่บางเสาธง จำนวน 2 หลัง ซึ่งเป็นโรงงานว่าง 1 หลัง และที่เช่าอยู่แล้ว 1 หลัง คาดจะโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้เข้ามาในไตรมาสที่ 1 ของปี 2562 มูลค่าขายรวมประมาณ 100 ล้านบาท  และอยู่ระหว่างเจรจาขายเพิ่มเติมอีก 1 หลัง ซึ่งเร่งจะปิดขายให้ได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2562

สำหรับธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัทได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการ The Artisan กับพันธมิตรด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศจีน  มูลค่าโครงการรวม 6,800 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองแล้วเกือบ 60% มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปแล้วประมาณ 30% บริษัทคาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนดังกล่าวในช่วงปลายปี 2562 เป็นต้นไป

Back to top button