ESTAR ปักธงยอดขายปี 62 โตแตะ 3 พันลบ. ลุยเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่า 4 พันลบ.
ESTAR ปักธงยอดขายปี 62 โตแตะ 3 พันลบ. ลุยเปิด 3-5 โครงการใหม่ มูลค่า 4 พันลบ.
นายต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 62 ที่ 2.5-3 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 3 พันล้านบาท โดยบริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ 3-5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3-4 พันล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯ 3 โครงการ และในจังหวัดระยอง 2 โครงการ ซึ่งจะเป็นโครงการแนวราบ 3 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ
โดยโครงการที่บริษัทจะเปิดตัวในปีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการระดับกลาง-บน ราคาขายเฉลี่ย 3-7 ล้านบาท/ยูนิต ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทในปีนี้ เพราะบริษัทมองว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่สูง มีปัญหาในการขอกู้ยืมสินเชื่อจากสถาบันการเงินน้อยเมื่อเทียบกับกลุ่มลูกค้าระดับกลางและล่าง
อย่างไรก็ดี ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมายอดขายยังทรงตัว เนื่องจากยังไม่มีการเปิดโครงการใหม่ และยังอยู่ในช่วงที่บริษัทมองว่าลูกค้าต่างรอความชัดเจนของการเลือกตั้งที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ทำให้ช่วง 2 เดือนที่ผ่านชะลอตัวลงไปบ้าง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม แต่สำหรับแนวราบยังมียอดขายที่ดี เห็นได้จากการตอบรับโครงการบ้านแฝด 3 ชั้นที่เปิดขายไป คือ โครงการ ESTARA HAVEN พัฒนาการ 20 มูลค่า 1.5 พันล้านบาท ช่วง Soft Launch ต้นเดือน มี.ค.ขายได้แล้ว 30-40 ยูนิต จากทั่งหมด 152 ยูนิต ราคาขาย 12.69 ล้านบาท/ยูนิต
ขณะที่บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 62 ไว้ที่ 1.6 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 1.7 พันล้านบาท เนื่องจากเป็นประเมินโอกาสที่การโอนโครงการของลูกค้าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ เกณฑ์ LTV โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 62 จะมาจากโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 80-90% และมาจากรายได้อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า 10-20%
โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ราว 2 พันล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ในปีนี้เกือบ 700 ล้านบาท และยังมีสินค้าพร้อมโอนในสต็อก 1 พันล้านบาท จาก 8 โครงการที่อยู่ระหว่างการขาย ซึ่งจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ทันที
ส่วนงบลงทุนสำหรับการซื้อที่ดินในปี 62 ตั้งไว้ที่ 2 ล้านบาท โดยที่จะซื้อที่ดินทั้งในกรุงเทพและระยอง รองรับการพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มเติมปี 63 โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ระดับ 0.28 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับต่ำมาก
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการเปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ไนประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรต่างชาติ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในเอเชีย ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนที่แน่นอนว่าจะสรุปได้อย่างไร แต่เป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทจะได้มีพันธมิตรเข้ามาร่วมเสริมศักยภาพและสนับสนุนทางด้านการเงิน เพื่อต่อยอดการพัฒนาโครงการของบริษัท
ด้านนายต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 62 จะเติบโตขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัย 4 ที่คนต้องซื้ออยู่แล้ว และในปีนี้คาดจะมีตลาดจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นราว 5-10% หรือจะมีมูลค่าโครงการราว 5.6-6 แสนล้านบาท จากปีก่อน 5.65 แสนล้านบาท แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องระวังอย่างใกล้ชิด ได้แก่ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน การส่งออกชะลอตัว
รวมทั้งราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนมาตรการ LTV ที่ออกมาสกัดกั้นการซื้อเก็งกำไรในตลาดคอนโดมิเนียม