“เครดิตสวิส” ชี้นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำกระทบค้าปลีก ฉุดผลงาน “ROBINS-GLOBAL” อ่วมสุด!

“เครดิตสวิส” ชี้นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำกระทบค้าปลีก ฉุดผลงาน “ROBINS-GLOBAL” อ่วมสุด!


บริษัท หลักทรัพย์เครดิต สวิส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายหลังจากพรรคการเมืองใหญ่หลายพรรคประกาศนโยบายปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำ โดยเมื่อคิดเป็นสัดส่วนแล้วจะเพิ่มขึ้นถึง 23-48% ซึ่งจะสร้างผลกระทบให้กับผู้ประกอบการค้าปลีก SME และบริษัทจดทะเบียนอีกจำนวนหนึ่งเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ จากการที่ 4 ใน 5 ของพรรคการเมืองใหญ่ประกาศนโยบายว่าจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้กับผู้ใช้แรงงานถึง 23-48% (เทียบกับการขึ้นค่าแรง 71% ในปี 2555-56) รวมไปถึงการขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำให้กับนิสิต/นักศึกษาจบใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้เมื่อปี 2555-56 ได้ส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนเป็นอย่างมาก

โดยในปีดังกล่าวมีการปรับเพิ่มสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ใช้แรงงาน และลูกจ้างขึ้นอย่างมาก ทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น แต่ในปีนั้นเอง HMPRO กับ BIGC ได้รับผลกระทบน้อยกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่ม เนื่องจากทาง HMPRO ว่าจ้างผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานอยู่แล้วเป็นเดิมที และในส่วนของ BIGC นั้นมีการควบรวมกับคาร์ฟูร์ในปีดังกล่าวพอดี

อย่างไรก็ตาม หากอ้างอิงจากข้อมูลในปี 2559 พบว่า GLOBAL กับ ROBINS มีค่าใช้จ่ายสำหรับการว่าจ้างที่ต่ำกว่าบริษัทอื่นๆ ซึ่งคาดว่ามาจากการที่มีสาขาในต่างจังหวัดจึงทำให้ค่าแรงนั้นน้อยกว่าในตัวเมืองอย่างกรุงเทพ และปริมณฑลที่มีการแข่งขันกันสูงในเรื่องของเงินค่าจ้าง แตกต่างจาก HMPRO และ CPALL ที่ส่วนมากจะมีค่าแรงที่สูงกว่าอยู่แล้ว แม้จะมีบางส่วนที่ยังชำระในระดับค่าแรงขั้นต่ำอยู่ แต่ยังสามารถนำมาถัวเฉลี่ยได้ ด้วยเหตุนี้เครดิตสวิส จึงมองว่า ROBINS กับ GLOBAL เป็นหุ้นที่น่าห่วงที่สุดในกลุ่ม ในขณะที่ HMPRO, CPALL และ MAKRO จะได้รับผลกระทบที่น้อยกว่า

ทั้งนี้ แม้ว่าแคมเปญประชานิยมจากพรรคใหญ่ๆ จะมีส่วนช่วยเสริมด้านบริโภค ซึ่งจะส่งผลดีให้กับผู้ค้าปลีก และช่วยให้หักล้างกับค่าแรงที่ต้องชำระเพิ่มขึ้น แต่ในมุมมองของ เครดิตสวิส นั้นเห็นว่าการกระตุ้นการบริโภคนั้นจะมีผลช่วยเสริมยอดขายอยู่แค่ในช่วงปีแรกเพียงเท่านั้น โดยในระยะยาวปัญหาค่าแรงจะส่งผลกระทบต่อบริษัทต่างๆเป็นอย่างมาก

จากบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มทั้งหมดแล้ว CPALL เป็นหุ้นที่ทาง เครดิตสวิส มีความคิดเห็นในเชิงบวกมากที่สุด โดยในปี 2555-56 นั้น CPALL แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับเพิ่มสวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ใช้แรงงาน และลูกจ้างเลยในส่วนของที่เป็นร้านสะดวกซื้อ

อีกทั้ง CPALL ยังได้รับผลประโยชน์จากการส่งเสริมการบริโภคในปีดังกล่าวอีกด้วย จึงทำให้รายได้จากการขายนั้นสูงกว่าค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพิ่มขึ้นจากนโยบายต่างๆ ในปีนั้น ดังนั้นหากแนวโน้มนโยบายส่งเสริมการบริโภคออกมาในรูปแบบที่คล้ายคลึงกับปี 2555-56 ก็จะทำให้ CPALL เป็นหุ้นที่ดีที่สุดในกลุ่มนี้

Back to top button