ฝรั่งมองการเมืองไทยไม่เสถียร! “ปริญญ์” แนะเล่นกลาง-ยาว รอตั้งรัฐบาลใหม่หนุน!
ฝรั่งมองการเมืองไทยไม่เสถียร! "ปริญญ์" แนะเล่นกลาง-ยาว รอตั้งรัฐบาลใหม่หนุน!
สืบเนื่องจากกรณีที่ผลการเลือกตั้งส.ส.ของประเทศไทยยังไม่มีผลออกมาอย่างเป็นทางการ โดยหลายคนเฝ้าจับตาว่าการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นฝั่งไหนระหว่าง พรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันกลุ่มนักลงทุนต่างชาติก็เฝ้าจับตารับบาลที่มีเสถียรภาพในการตัดสินใจเข้าลงทุน
โดย นายปริญญ์ พาณิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ออกอากาศทาง Facebook Live ข่าวหุ้นธุรกิจ และสถานีวิทยุกระจายเสียงกรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) FM 102 MHz. ถึงประเด็นดังกล่าว ว่า สำหรับมุมมองนักลงทุนต่างชาติภายหลังการเลือกตั้งและมีผลคะแนนออกมาอย่างไม่เป็นทางการและจะเป็นทางการในวันที่ 9 พ.ค.62 แน่นอนในฐานะตัวแทนนักลงทุนต่างชาติและสถาบันใหญ่ๆต้องยอมรับว่านักลงทุนต่างชาติเห็นการเลือกตั้งมาหลายรอบ และการเลือกตั้งในรอบนี้ก็คงไม่ต่างจากการเลือกตั้ง 7-8 ครั้งที่ผ่านมา
โดยตลาดหุ้นก่อนเลือกตั้งมีความแข็งแกร่งและนักลงทุนตอบรับปัจจัยดังกล่าว แต่ภายหลังการเลือกตั้งทิศทางตลาดจะไซด์เวย์หรือลงโดยเฉพาะในกรณีอยากที่จะหารัฐบาลที่มีเสถียรภาพในรัฐบาลผสมในขณะนี้ถือเป็นประเด็นที่กังวลสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
ทั้งนี้เห็นได้จากนักลงทุนต่างชาติได้ตั้งคำถามและแปลกใจว่าทำไม่ภายหลังการเลือกเสร็จจนถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถสรุปผลการเลือกตั้งในแบบไม่เป็นทางการเบื้องต้นออกมา ได้ และผลการเลือกตั้งก็ยังไม่เห็นชัดว่าพรรคการเมืองไหนที่จะเข้ามาสนับสนุนทั้งสองพรรคระหว่างพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคเพื่อไทย เพื่อให้ได้ได้เสียงข้างมากเกิน 250 เสียงอย่างชัดเจน
“ตรงนี้ทำให้นักลงทุนสถาบันเกิดความกังวลและรอความชัดเจนจึงชะลอการลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากตัวเลขทั้งสองฝั่ง จะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลมีเสถียรภาพได้ นักลงทุนต่างชาติบางคนได้ตั้งคำถามว่า จะมีรัฐบาลแห่งชาติไหม และจะมีการร่วมมือกันระหว่างพรรคสองขั้วสองฝั่งได้หรือไม่ เพราะถ้าหากมีการร่วมกันได้ตัวกลางและตัวแปลสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็คือ พรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะไปอยู่ข้างไหน เพราะถ้าหากไปข้างไหนข้างหนึ่งก็คงจะไม่เกิดอิมแพ็ค แต่ถ้าทั้งสองพรรคไปด้วยกันตรงนี้ก็น่าจะเกิดอิมแพ็คมากพอสมควร” นายปริญญ์ กล่าว
ทั้งนี้ มองว่าต่างชาติมีความกังวลว่าหากได้รัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพ และไม่มีเสียงข้างมากอย่างจริงจัง ซึ่งจุดนี้จะทำให้การขับเคลื่อนโยบายเศรษฐกิจใหญ่ๆ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน EEC เกิดความล่าช้าและไม่แน่นอน
ส่วนปัจจัยการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในขณะนี้มี 2 ปัจจัยหลัก คือ หากการลงทุนการค้าจีนและสหรัฐมีการเจรจาราบรื่น และทิศทางเฟดออกมาพูดต่อเนื่องไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และทิศทางจากหลายๆธนาคารกลางออกเป็นทิศทางเดียวกันคือไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ย คาดว่าจะส่งผลให้เม็ดเงินฟันโฟลว์ไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ และอาเซียน รวมไปถึงตลาดหุ้นไทย ที่จะได้รับอานิสงค์จากต่างชาติเข้ามาหนุน
ส่วนปัจจัยภายในประเทศหากพรรคการเมืองใหญ่ประกาศจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว และประกาศนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลชุดใหม่ออกมาและสามารถจับต้องได้ โดยต่างชาติมองเห็นความสำคัญของการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่จับต้องได้มากกว่าว่าพรรคใดจะเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นมุมมองการลงทุนของต่างชาติในขณะนี้ระยะสั้นมองเป็นลบเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง
“แต่เป็นไปได้ว่าในระยะสั้นผลกระทบทางการเมืองกระทบมูลค่าหุ้นถูกมากเกินไป ก็เชื่อว่าต่างชาติอาจจะเข้ามาเก็บก่อน เพราะแม้ระยะสั้นปัจจัยการเมืองไม่ชัดเจน แต่หากมองระยะกลาง-ยาวก็ยังเดินหน้าไปได้ โดยเฉพาะหุ้นที่ราคาถูกและธุรกิจไม่ได้อิงการเมืองตรงนี้ก็น่าจะเป็นโอกาศเข้าลงทุนของต่างชาติได้ แต่ระยะกลาง-ยาวมีแรงเขย่ารอบนนี้ทำให้ตลาดหุ้นตกลงไป 3-6% เพราะถ้าลงแรงตรงนี้ก็น่าจะเป็นจังหวะเข้าเก็บหุ้นราคาถูก ส่วนประเด็นการปรับน้ำหนัก MSCI รอบใหม่คาดจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนได้ แต่น่าจะหนุนแค่ระยะสั้น 1-2 วันเท่านั้น จึงไม่ได้คาดหวังตรงนี้มาก” นายปริญญ์ กล่าวในตอนท้าย