DRT เร่งเดินเครื่องผลิตเต็มสูบ-เพิ่มสต๊อกสินค้ารับออเดอร์พุ่ง มองความต้องการสินค้า Q2 โต
DRT เร่งเดินเครื่องผลิตเต็มสูบ-เพิ่มสต๊อกสินค้ารับออเดอร์พุ่ง มองความต้องการสินค้า Q2 โต
นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยว่า จากภาพรวมยอดขายสินค้าช่วงไตรมาส 1/62 ที่เติบโตได้ดีทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทำให้บริษัทต้องปรับแผนการผลิตใหม่ให้สอดคล้องกับคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นเพื่อรักษาโอกาสในการขายสินค้า โดยในเดือนเม.ย.62 ซึ่งเป็นเดือนที่มีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ บริษัทได้ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเร่งเดินเครื่องผลิตสินค้าอย่างเต็มที่ทุกไลน์การผลิต ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์หลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์ หลังคาคอนกรีต กลุ่มบอร์ด ไม้สังเคราะห์และกลุ่มอิฐมวลเบาโดยไม่มีการหยุดพัก
ทั้งนี้ บริษัทต้องการเพิ่มสต๊อกสินค้ารอการขายเป็น 30 วัน จากสิ้นไตรมาส 1/62 ที่ลดลงเหลือประมาณ 10 วัน เพื่อให้มีปริมาณสต๊อกสินค้าเพียงพอต่อความต้องการลูกค้าและเข้าสู่ระดับปกติในช่วงฤดูการขายหรือช่วงไฮซีซั่น หลังจากขยายพื้นที่คลังสินค้าอีก 3,500 ตารางเมตร ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถบริหารการจัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็วและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“ปัจจุบันเราใช้อัตราเดินเครื่องจักรเฉลี่ย 80-90% จากกำลังการผลิตโดยรวมกว่า 1 ล้านตัน/ปี ถือว่าเกือบเต็มประสิทธิภาพการผลิต แต่จากปริมาณความต้องการสินค้าของตราเพชรที่เพิ่มสูงขึ้นมากหลังผู้บริโภคให้การตอบรับที่ดี เนื่องจากเรามีจุดแข็งด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการการก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลังและแบรนด์สินค้ามีความแข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับของลูกค้า ทำให้เราจึงใช้เวลาวันหยุดยาวเพื่อผลิตสินค้าเพิ่มปริมาณสต๊อกรอการขายในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์”นายสาธิต กล่าว
สำหรับแนวโน้มความต้องการใช้สินค้าช่วงไตรมาส 2/62 มองว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของที่อยู่อาศัย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่ส่งผลให้เมืองขยายตัว เนื่องจากวัสดุก่อสร้างเป็นสินค้าที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัจจัย 4 จึงมีความต้องการใช้สินค้าเพื่อนำไปใช้ในงานซ่อมแซมและก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่อย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่ตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะ กัมพูชา สปป.ลาวและเมียนมา มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าปีที่ผ่านมา หลังจากเห็นสัญญาณการขยายตัวในระดับที่น่าพอใจในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ โดยเฉพาะเมียนมาและ สปป.ลาว ที่มีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายรวมในปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% ได้ตามแผนที่วางไว้