ก.ล.ต.แนะผถห. GJS ร่วมประชุมวิสามัญฯใช้สิทธิโหวตมติปล่อยกู้บ.แม่ 29 เม.ย.นี้
ก.ล.ต.แนะผถห. GJS ศึกษาข้อมูลกรณีปล่อยกู้ GSTEL ซึ่งเป็นบริษัทแม่ 117 ลบ. เหตุ IFA ไม่เห็นด้วย พร้อมเข้าร่วมประชุมวิสามัญฯใช้สิทธิโหวต 29 เม.ย.นี้
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นบริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GJS ไปใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น วันที่ 29 เมษายน 2562 เพื่อพิจารณากรณี GJS ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ถือหุ้นใหญ่คือบริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEL ซึ่งถือหุ้น GJS 18.8% โดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเห็นว่าไม่เหมาะสมและผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติ
โดย GJS จะขออนุมัติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 29 เมษายน 2562 เพื่อขอสัตยาบันการเข้าทำรายการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ GSTEL โดยเป็นการให้กู้เงินระยะสั้นวงเงินไม่เกิน 94 ล้านบาท แบบไม่มีหลักประกัน และมีกำหนดชำระคืนเงินต้นไม่เกิน 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 12.5% ต่อปี ซึ่งคณะกรรมการ GJS อนุมัติไปเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 การที่คณะกรรมการ GJS ขยายระยะเวลาครบกำหนดชำระคืนเงินกู้จากเดิม คือวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 ออกไปอีกเป็นวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 เนื่องจาก GSTEL ยังอยู่ระหว่างจัดหาแหล่งเงินทุนจากภายนอก ซึ่งก่อนหน้านั้น GJS ได้เคยขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไปครั้งหนึ่งแล้ว
ขณะที่ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) มีความเห็นสรุปได้ว่า ผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติให้สัตยาบันรายการดังกล่าว เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าต้นทุนทางการเงินของ GJS ที่อัตรา 14.85% ต่อปี รวมถึงไม่มีการวางหลักประกัน ไม่มีผู้ค้ำประกัน และไม่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัด
นอกจากนี้ การขยายระยะเวลาสัญญากู้ยืมเงินครั้งนี้ ก็เพื่อมิให้ GSTEL ผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาต่อ GJS โดย IFA ยังไม่ได้รับเอกสาร หลักฐาน หรือคำมั่นใดที่มีน้ำหนักเพียงพอ เกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้ได้ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 เนื่องจาก GSTEL ได้หยุดการผลิตและไม่มีรายได้ อีกทั้งยังถูกเจ้าหนี้หลายรายฟ้องให้ชำระหนี้ IFA จึงไม่เห็นความจำเป็นที่การขยายระยะเวลาวงเงินกู้ยืมจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ GJS
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริษัทเห็นว่า รายการดังกล่าวสมเหตุสมผลและจะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมการปรับโครงสร้างทางการเงินของกลุ่มบริษัท โดยอัตราดอกเบี้ยที่ GJS เรียกเก็บจาก GSTEL สอดคล้องกับต้นทุนทางการเงินระยะยาวของบริษัท และคณะกรรมการตรวจสอบเห็นว่า เป็นการให้เงินกู้ยืมอันเนื่องมาจาก GSTEL ไม่มีเงินไปชำระหนี้ภาษีที่มีอยู่กับกรมสรรพากรประมาณ 90 ล้านบาท ขณะเดียวกันไม่สามารถไปกู้ยืมจากแหล่งเงินกู้อื่นได้ ประกอบกับบริษัทมีเงินสดและสภาพคล่องเพียงพอที่จะให้กู้ยืมได้ โดยเป็นเงินกู้ระยะสั้น GSTEL จึงไม่ได้กำหนดเรื่องหลักประกันใด ๆ และการที่นำรายการนี้มาขอสัตยาบันจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี
ทั้งนี้ รายการดังกล่าวข้างต้นเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน ซึ่ง GSTEL ถือหุ้น GJS ทั้งทางตรงและอ้อมรวมกัน 18.8% โดยต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน โดยไม่นับส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย
ดังนั้น ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นศึกษาข้อมูลโดยละเอียดและใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งซักถามผู้บริหาร GJS ถึงข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนในการประกอบการตัดสินใจ