RS ปิดตลาดทรุดเกือบ 15% โบรกฯ ปรับน้ำหนักหุ้นกลุ่มบันเทิงเป็น “เท่ากับตลาด”
RS ปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ 11.40 บาท ลบ 2 บาท หรือ 14.93% สูงสุดที่ 12.90 บาท ต่ำสุดที่ 11.40 บาท มูลค่าการซื้อขาย 441.70 ล้านบาท โดยบล.เอเซีย พลัส ปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มบันเทิงเป็น “เท่ากับตลาด” ให้เป้า RS ที่ 21 บ. ซึ่งคาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไรได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ 11.40 บาท ลบ 2 บาท หรือ 14.93% สูงสุดที่ 12.90 บาท ต่ำสุดที่ 11.40 บาท มูลค่าการซื้อขาย 441.70 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.14%
บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (3 ก.ค.) ว่าวานนี้ (2 ก.ค.) ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีกว่า 300 ราย ทั่วประเทศ ยื่นหนังสือคัดค้านคำสั่งของ กสทช. ที่บังคับให้เคเบิลทีวีต้องนำช่องทีวีดิจิทัลทั้ง 24 ไปออกอากาศ (Must Carry) ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2558 เป็นต้นไป และต้องการให้ กสทช.กลับมาใช้มติเดิมในเดือน ต.ค. 2557 ที่ผ่อนผันกฎ Must carry ให้สามารถเลือกออกอากาศได้บางช่อง เนื่องจากผู้ให้บริการเคเบิลทีวีส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อมเพราะ 90% ยังเป็นระบบอนาล็อกรองรับการออกอากาศได้เพียงราว 60 ช่อง ดังนั้นหากรวมทีวีดิจิทัลทั้ง 24 ช่อง จะทำให้การบริการเคเบิลทีวีไม่มีความหลากหลายแตกต่างจากโครงข่ายภาคพื้นดิน
ทั้งนี้เชื่อว่า กสทช. ต้องการให้ประชาชนสามารถรับชมทีวีดิจิทัลทั้ง 24 ช่อง ได้ในทุกช่องทาง และได้ผ่อนผันให้เวลาผู้ประกอบการเคเบิลทีวีได้ปรับตัวแล้ว และเชื่อว่าปัจจุบัน กสทช. พยายามหาทางช่วยเหลือให้ทีวีดิจิทัลที่มีเรตติ้งต่ำอยู่รอดได้ในอุตสาหกรรม ดังนั้นจึงมีโอกาสน้อยที่ กสทช. จะทำตามมติในเดือน ต.ค. 2557 ให้ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีเลือกออกอากาศทีวีดิจิทัลได้บางช่อง
โดยฐานผู้ชมผ่านเคเบิลคิดเป็น 8.7% ของช่องทางรับชมช่องฟรีทีวีทุกประเภท ทั้งนี้หาก กสทช. ยืนยันบังคับใช้กฎ Must Carry ตามเดิมจะส่งผลบวกต่อฐานผู้ชมทีวีดิจิทัลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและมีเม็ดเงินโฆษณาไหลเข้าช่องทีวีดิจิทัลอย่างต่อเนื่องได้ แต่หาก กสทช. มีการผ่อนผันเพิ่มเติมเชื่อว่าผู้ประกอบการเคเบิ้ลทีวีจะเลือกนำแฉพาะช่องทีวีดิจิทัลที่มีเรตติ้งสูงมาลงในแพล็ตฟอร์มของตนเองเท่านั้น ทำให้ช่องที่มีเรตติ้งต่ำมีโอกาสอยู่รอดยาก
ดังนั้น ยังคงให้น้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” โดยเลือกลงทุนเฉพาะช่องทีวีดิจิทัลที่มีเรตติ้งผู้ชมสูง และเป็นผู้นำในกลุ่มทีวีดิจัทัล คือ WORK (FV@B45) เพราะเรตติ้งพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและคาดผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิตั้งแต่ไตรมาส 2/58 และ RS (FV@B21) ที่คาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไรเช่นกัน และยังคงชื่นชอบ BEC (FV@B51) ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมามากแต่มีจุดเด่นที่การจ่ายเงินปันผลกว่า 4.4% และแม้คาดกำไรปีนี้อ่อนตัว 20% แต่จะกลับมาฟื้นตัวในปีหน้า 13%