ศาลอุทธรณ์ยืนจำคุก “จุฑามาศ” อดีตผู้ว่าททท. 50 ปี คดีสินบนข้ามชาติ
ศาลอุทธรณ์ยืนจำคุก "จุฑามาศ" อดีตผู้ว่าททท. 50 ปี คดีสินบนข้ามชาติ
วันนี้ (8พ.ค.62) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีสินบนข้ามชาติ หมายเลขดำ อท.14/2558, อท.46/2559 ที่ อัยการคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง “นางจุฑามาศ ศิริวรรณ” อายุ 72 ปี อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ น.ส.จิตติโสภา ศิริวรรณ อายุ 45 ปี บุตรสาว เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นพนักงาน เรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อการกระทำอย่างใดในหน้าที่ ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายไม่ให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้อแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิตามสัญญาแก่หน่วยของรัฐ และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ตาม พ.รบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 11 และพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนรอราคาหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542 มาตรา 12 จากกรณีรับเงินตอบแทน สามี-ภรรยาชาวสหรัฐอเมริกา นักธุรกิจภาพยนตร์ เพื่อให้ได้สิทธิในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2002 – 2007 (หรือปี พ.ศ.2545 – 2550) มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท โดยอัยการ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 25 ส.ค.58 ที่ผ่านมา ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
โดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แก้โทษให้จำคุก นางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ นางจิตติโสภา ศิริวรรณ บุตรสาว ในคดีที่ถูกกล่าวหาเรียกรับเงินจากนักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกา เป็นเงินกว่า 60 ล้านบาท เพื่อให้ได้สิทธิในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ (Bangkok Film Festival) ปี 2550 โดยพิพากษาจำคุกนางจุฑามาศ 50 ปี จากความผิด 11 กระทง ส่วนนางจิตติโสภา จำคุกกระทงละ 4 ปี จำนวน 10 กระทง คงจำคุก 40 ปี และโดยไม่ริบเงินที่ผิดจำนวน 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากฟ้องโจทก์ไม่ได้ขอ
ด้าน นายสุชาติ ชมกุล ทนายความจำเลย กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่แน่ใจว่าจำเลยจะยื่นฎีกาหรือไม่ เนื่องจากเราต้องรอคัดคำพิพากษาฉบับเต็มและกลับไปปรึกษากับคณะทำงานทนายความคดีนี้ซึ่งมีหลายคน เพื่อช่วยกันตรวจดูคำพิพากษาอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่ “พนักงานอัยการ” ซึ่งรับมอบหมายมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ กล่าวเพียงว่า คดีนี้ยังสามารถที่จะใช้สิทธิ์ยื่นฎีกาได้ แต่ทั้งนี้คงต้องไปศึกษาข้อกฎหมายก่อนว่า หลักการฎีกาจะเป็นไปตามกฎหมายเก่าหรือกฎหมายใหม่ ซึ่งระบบจะแตกต่างกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสร็จสิ้นแล้ว ยังคงลงโทษจำเลยทั้งสองให้จำคุกนั้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ได้ควบคุมตัวทั้งสองกลับไปคุมขังยังทัณฑสถานหญิงกลาง ซึ่งระหว่างที่ยืนฟังคำพิพากษาเป็นเวลากว่าชั่วโมงเศษนั้นจำเลยทั้งสองคงมีสีหน้าเรียบเฉย.