ดาวโจนส์ปิดปรับลง ขณะตลาดวิตกปัญหาหนี้กรีซ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) หลังจากผลประชามติของกรีซระบุว่า ชาวกรีซตัดสินใจโหวต 'No' เพื่อคัดค้านมาตรการรัดเข็มขัดของเจ้าหนี้ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้ตลาดวิตกกังวลว่า กรีซอาจจะต้องออกจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลของมาร์กิตที่ระบุว่าดัชนี PMI ภาคบริการของสหรัฐร่วงลงในเดือนมิ.ย.
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดวานนี้ (6 ก.ค.) ที่ 17,683.58 จุด ลดลง 46.53 จุด หรือ -0.26%, ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นปิดที่ 4,991.94 จุด ลดลง 17.27 จุด หรือ -0.34% และดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,068.76 จุด ลดลง 8.02 จุด หรือ -0.39%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของกรีซในยูโรโซน หลังจากผลการลงประชามติระบุว่า ชาวกรีซมากกว่า 60% คัดค้านมาตรการรัดเข็มขัดจากทางเจ้าหนี้ ส่งผลให้กรีซมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงิน ซึ่งอาจทำให้กรีซประสบภาวะล้มละลาย และต้องออกจากยูโรโซน
กรีซมีกำหนดที่จะต้องชำระหนี้แก่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อีก 3.5 พันล้านยูโร หรือ 3.9 พันล้านดอลลาร์ในวันที่ 20 ก.ค.นี้ ซึ่งสื่อต่างประเทศมองว่า หากกรีซผิดนัดชำระหนี้ครั้งนี้ ก็อาจทำให้ ECB ยกเลิกการจัดสรรวงเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือ Emergency Liquidity Assistance (ELA) แก่ภาคธนาคารของกรีซ
ตลาดจับตาดูนายอเล็กซิส ซิปราส นายกรัฐมนตรีกรีซ จะยื่นข้อเสนอใหม่ของรัฐบาลกรีซเข้าสู่ที่ประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป (EU) ในวันนี้ ที่กรุงบรัสเซลส์ หลังจากที่นายซิปราสได้เจรจาทางโทรศัพท์กับนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เมื่อวานนี้
นอกเหนือจากวิกฤตหนี้กรีซแล้ว ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐ โดยมาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ขั้นสุดท้ายสำหรับภาคบริการของสหรัฐ ร่วงลงสู่ระดับ 54.8 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 56.7
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบ โดยหุ้นทรานส์โอเชียน และหุ้นเนชันแนล ออยล์เวลล์ วาร์โค ต่างก็ร่วงลงกว่า 5% ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดิ่งลงเช่นกัน โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอร์แรน ร่วงลง 3% หุ้นอินเทล และหุ้นไมครอน เทคโนโลยี ร่วงลงอย่างน้อย 1.7% ซึ่งหุ้นทั้งสองบริษัทปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วันทำการ
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันนี้ สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนมิ.ย. และสินเชื่อผู้บริโภคเดือนพ.ค. ส่วนวันอังคาร ธนาคารกลางสหรัฐจะเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงิน ประจำวันที่ 16-17 มิ.ย. วันพฤหัสบดี สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ และวันศุกร์จะเปิดเผยสต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือนพ.ค.