“อาร์แอนด์บีฟู้ดซัพพลาย”ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 520 ล้านหุ้น จ่อเทรด SET ระดมทุนสร้างโรงงานตปท.

"อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย" หรือ RBF ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัตถุที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 520 ล้านหุ้น เล็งเทรด SET ระดมทุนสร้างโรงงานตปท. โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน


บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF ระบุว่า บริษัทยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 520 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 26.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

โดยมีวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานในต่างประเทศ คาดว่าจะใช้เงิน 500-750 ล้าบาท ในปี 2565, ปรับปรุงและซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม และใช้ชำระคืนเงินกู้ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

สำหรับ RBF และบริษัทย่อย ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัตถุที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร (Food Ingredients) โดยแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลายประเภทดังนี้ (1) วัตถุแต่งกลิ่นและรส (Flavour) แป้งประกอบอาหาร เกล็ดขนมปัง เครื่องปรุงรส ซอสและน้ำจิ้ม สีผสมอาหาร ผลิตภัณฑ์อบแห้ง ผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง รวมถึงวัตถุแต่งกลิ่นที่นำไปเป็นส่วนผสมในน้ำหอมและเครื่องสำอาง และบรรจุภัณฑ์พลาสติก (2) ซื้อมาและจำหน่ายไปซึ่งสินค้าประเภท Food Additive อาทิ สารกันบูด สารกันรา กรดมะนาว เป็นต้น รวมถึงนมผง และปลอกไส้กรอก โดยซื้อจากผู้ผลิตรายอื่น หรือนำเข้าจากต่างประเทศ มาจำหน่ายให้กับลูกค้าที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมยา และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์

นอกจากการผลิตและจำหน่ายให้กับลูกค้าตามที่กล่าวแล้ว บริษัทและบริษัทย่อยยังผลิตและจำหน่ายสินค้าให้กับกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมตามคำสั่งซื้อ (Made to order) และจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมและกลุ่มลูกค้าธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ที่สั่งผลิตในรูปแบบ OEM (Original Equipment Manufacture) เป็นหลัก นอกจากนี้ ยังผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า “อังเคิลบาร์นส์” “เบสท์ โอเดอร์” “super-find” “ก๊อปจัง” “Haeyo” “Angelo” และ “Aroi Mak Mak” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทแป้งประกอบอาหาร เกล็ดขนมปัง วัตถุแต่งกลิ่นและรส สีผสมอาหาร น้ำหวานเข้มข้น และอาหารแช่แข็ง เพื่อสร้างความหลากหลายและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง

ปัจจุบันบริษัทและบริษัทย่อยมีโรงงานผลิตวัตถุผสมอาหารตามที่กล่าวและผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก รวม 7 โรงงาน ตั้งอยู่ที่ซอยลาดพร้าว 101 จังหวัดกรุงเทพมหานคร 1 แห่ง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการแฟคตอรี่แลนด์วังน้อย 1 แห่ง อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค 4 แห่ง และตั้งอยู่ในอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ 1 แห่ง

โดยแต่ละโรงงานใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ทันสมัย มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล อาทิ มาตรฐานรับรองเกี่ยวกับสุขลักษณะและข้อกำหนดการผลิต (Good Manufacturing Practice Practice : GMP) มาตรฐานรับรองวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (Hazard Analysis & Critical Control Points : HACCP) มาตรฐาน British Retail Consortium (BRC) มาตรฐาน Food Safety System Certification (FSSC) 22000 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ HALAL  และ มาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ (ISO 9001) ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทและบริษัทย่อยได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ

ทั้งนี้บริษัทมีบริษัทย่อยรวม 7 บริษัท ประกอบด้วยบริษัทย่อยในประเทศไทย 3 บริษัท เวียดนาม 1 บริษัท อินโดนีเซีย 2 บริษัท และจีน 1 บริษัท บริษัทและบริษัทย่อยยังมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศรัสเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา ลาว มาเลเซีย ญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย อังกฤษ เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทย่อยยังได้ลงทุนในธุรกิจโรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ (1) โรงแรมโนโวเทล ชุมพร บีช รีสอร์ท แอนด์ กอล์ฟ โดยลงทุนผ่านบริษัท ไทย เฟลเวอร์ แอนด์ แฟรกแร๊นซ์ จำกัด (TFF) และ (2) โรงแรม ไอบิส สไตล์ เชียงใหม่ โดยลงทุนผ่านบริษัท พรีเมี่ยมฟู้ดส์ จำกัด (PFC) โรงแรมทั้งสองแห่งตามที่กล่าว บริหารงานโดยกลุ่มแอคคอร์ (ACCOR) ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทและบริษัทย่อยมีสภาพคล่องคงเหลือและเห็นโอกาสในการลงทุนเพื่อประกอบธุรกิจโรงแรม

ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัท ณ วันที่ 31 ธ.ค.2561 มีสินทรัพย์รวม 3,447.65 ล้าบาท หนี้สินรวม 1,355.90 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 2,091.76 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายและให้บริการ 2,632.52 ล้าบาท ต้นุทนจากการขายและให้บริการ 1,627.68 ล้านบาท ต้นทุนจากการประกอบกิจการโรงแรม 116.49 ล้านบาท กำไรสุทธิ 321.11 ล้านบาท

โดยในปี 2559 ปี 2560 และปี 2561 รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ทั้ง 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ วัตถุแต่งกลิ่นรสและสีผสมอาหาร ,กลุ่มแป้งและซอส ,กลุ่มผลิตภัณฑ์อบแห้ง,ผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง,กลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติก และกลุ่มผลิตภัณฑ์ซื้อมาเพื่อจำหน่าย มีมูลค่าเท่ากับ 2,526.41 ล้านบาท 2,807.86 ล้านบาท และ 2,632.52 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีรายได้สูงที่สุด ได้แก่ กลุ่มวัตถุแต่งกลิ่นรสและสีผสมอาหาร อันดับที่สอง ได้แก่ กลุ่มแป้งและซอส อันดับที่สาม ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ซื้อมาเพื่อจำหน่าย

ทั้งนี้ ในปี 2559 ปี 2560 และปี 2561 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 366.80 ล้านบาท 402.61 ล้านบาท และ 321.11 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิต่อรายได้รวมเท่ากับร้อยละ 13.89 ร้อยละ 13.79 และร้อยละ 11.68 ตามลำดับ ซึ่งการลดลงของอัตรากำไรสุทธิในปี 2561 เป็นผลจากการลดลงของรายได้จากการขายและให้บริการ และการเพิ่มขึ้นของรายการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร แม้ว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น

ส่วนโครงการในอนาคตของบริษัทและบริษัทย่อยมีโครงการในอนาคต เพื่อพัฒนาและเพิ่มมูลค่าของบริษัท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. สร้างโรงงานผลิตและจำหน่ายวัตถุแต่งกลิ่นและรส เกล็ดขนมปัง และแป้งประกอบอาหารในต่างประเทศ โดยบริษัทคาดว่าจะใช้งบประมาณในการซื้อที่ดินและก่อสร้างโรงงานประมาณ 500 – 750 ล้านบาท และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2565,  2. ปรับปรุงและซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม บริษัทคาดว่าจะใช้งบประมาณในการปรับปรุงและซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติมประมาณ 150 – 200 ล้านบาท และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564

โดย ณ วันที่ 9 เม.ย.2562 บริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 2,000 ล้านบาท คิดเป็น 2,000 ล้านหุ้น และมีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 1,480 ล้านบาท คิดเป็น 1,480 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้จะมีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วเป็น 2,000 ล้านบาท คิดเป็น 2,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท

ด้านผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 29 เม.ย.2562 คือ นางเพ็ชรา รัตนภูมิภิญโญ ถือหุ้น  578,531,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 39.09 หลังเสนอขาย IPO แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือร้อยละ 28.93, นายสมชาย รัตนภูมิภิญโญ  ถือหุ้น  578,531,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 39.09 หลังเสนอขาย IPO แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือร้อยละ 28.93 ,  พ.ต.พญ.จัณจิดา รัตนภูมิภิญโญ ถือหุ้น  160,159,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 10.82 หลังเสนอขาย IPO แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือร้อยละ 8.01, พญ.สนาธร  รัตนภูมิภิญโญ ถือหุ้น  160,159,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 10.82 หลังเสนอขาย IPO แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือร้อยละ 8.01

นอกจากนี้บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในแต่ละปี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด โดยพิจารณาจากงบการเงินเฉพาะของบริษัท

Back to top button