“บล.เออีซี”ชี้ SET วันนี้แกว่งขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,665 จุด แนะลงทุนเน้น 3 ธีมเด่น
“บล.เออีซี”ชี้ SET วันนี้แกว่งขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,665 จุด แนะลงทุนเน้น 3 ธีมเด่น
บล.เออีซี ประเมินดัชนีวันนี้ (6 มิ.ย.62) คาด SET Index แกว่งขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,665 จุด หลังการเมืองไทยได้ข้อสรุปการจัดตั้งพรรครัฐบาลและนายกรัฐมนตรี บวกกับตลาดคาดว่า FED มีแนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ย
Investment Strategy
มองทิศทางของ SET Index แกว่งขึ้นต่อ หลังมีปัจจัยหนุนระยะสั้นจากข้อสรุปรัฐบาลใหม่และนายกรัฐมนตรี หนุนให้โครงการลงทุนต่างๆ ที่รัฐบาลชุดเดิมวางไว้เดินหน้าต่อไป บวกกับ MSCI นำ NVDR เข้ามาคำนวณใน MSCI EM Indexส่งผลให้มี Flow ต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น และแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายทั้งจีนและสหรัฐฯส่งผลให้สภาพคล่องในระบบการเงินยังคงดี มองระยะสั้นดัชนีแกว่งขึ้นต่อมีแนวต้านที่ 1,665 จุด แนะนำลงทุน 1) กลุ่ม Defensive 2) กลุ่ม Growth และ 3) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้น ศก.ดังนี้
กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง: ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีความมั่นคงทางกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ได้แก่ กลุ่มพลังงานทางเลือก แนะนำ TPCH (แม้ช่วง 1Q62 กำไรโตเพียง 4.4%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะมีโรงไฟฟ้าหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักร แต่อย่างไรก็ดีมองระยะยาวมีแนวโน้มโตสดใสจากเป้าปี 63 จะเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าชีวมวลเป็น 200 MW และโรงไฟฟ้าจากขยะกำลังการผลิต 50 MW จากปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 60 MW, โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 49 MW และโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 10 MW) และ SSP (ช่วง 1Q62 กำไรโต 16.4%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายได้ของโครงการต่างๆ และการบริการรับเหมาก่อสร้างโซลาร์บนหลังคาโดยปี 62 ตั้งเป้า COD เพิ่มอีก 65.6 MW จากโซลาฟาร์มมองโกเลีย 16 MW และโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม 49.6MW ส่งผลให้สิ้นปีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 157.1MW จากปี 61 ที่ 90.4MW)
นอกจากนี้มองกลุ่มสาธารณูปโภคเป็น OASIS ยามเมื่อตลาดหุ้นไทยผันผวน เลือก TTW (กำไรสุทธิช่วง 1Q62 โต 10.4%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังรายได้ขายน้ำประปารวมของทั้ง TTW และ PTW เพิ่มขึ้น 4%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามความต้องการใช้น้ำประปาของครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น บวกกับส่วนแบ่งกำไรจาก CKP (TTW ถือหุ้น 25.3%)เพิ่มขึ้นจากเพียง 3.2 ลบ. ในช่วงไตรมาส1/61 เป็น 35.3 ลบ. สอดคล้องกับปริมาณขายไฟที่มากขึ้นของโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2) และ BAFS (กำไรสุทธิช่วง 1Q62 เติบโต 7.8%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.9%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปี 62 ตั้งเป้ารายได้โต 8-9%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป้าปริมาณการเติมน้ำมันโต 4%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับเริ่มรับรู้รายได้ท่อส่งน้ำมันบางปะอิน-พิจิตร และเตรียมเข้าประมูลโครงการจัดเก็บและเติมน้ำมันในสนามบินอู่ตะเภา)
กลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ: คาดมีโอกาสเติบโตได้ดีจากอัตราการขยายตัวของพอร์ตลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการกู้ยืมเงินของกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่ยังมีอยู่มากและได้รับผลบวกจากการที่ ธปท. เข้ามาควบคุมด้านกฏระเบียบอย่างเข้มงวดทำให้คาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในกลุ่มของผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบมากขึ้น แนะนำ SAWAD (คาดกำไรปี62โต30.8%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหนุนด้วยเป้าพอร์ตสินเชื่อโต 20-30% พร้อมแผนเปิดสาขาใหม่อีก 300-400 สาขา, Asset Yield ฟื้นตัวตามสัดส่วนการรับรู้รายได้ผ่านสัญญาเงินกู้ผ่าน BFIT ที่มากขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่ปรับลงหลังได้รับเงินเพิ่มทุนจากพันธมิตร) และ MTC (คาดกำไรปี 62 โต 20.9%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนด้วยแผนเปิดสาขาใหม่ตามเป้าณสิ้นปีที่ 3,900 สาขา, ต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มลดลงหลัง TRIS ปรับเพิ่ม Rating ของบริษัทขึ้นและภาระตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่น้อยลง)
กลุ่มค้าปลีก: คาดได้ประโยชน์จากการเมืองไทยที่ชัดเจนมากขึ้นบวกกับได้อานิสงส์บวกจากนโยบายกระตุ้นศก. ของรัฐบาลชุดใหม่ที่คาดมุ่งเป้ามาที่การบริโภคของภาคเอกชนเป็นอันดับต้นๆ แนะนำ CPALL (ตั้งเป้ายอดขายปี 62 โตไม่ต่ำกว่า 7%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนด้วยแผนเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องที่ 700 สาขาส่วนภาพใหญ่มีเป้าหมายใหม่ที่จะขยายสาขาให้ครบ 13,000 สาขาภายในปี 2564 ) และ ROBINS (ทั้งปี 62คาดมีปัจจัยหนุนจากการเปิดสาขาใหม่1สาขา ตจว. และอีก 1 สาขา กทม. รวมถึงการขยายพื้นที่ 3 สาขาตจว.ที่มีศักยภาพสูงส่งผลให้พื้นที่เช่าเพิ่มจาก 434,000 ตร.ม.เป็น 484,000 ตร.ม.(+11.5%) บวกกับSSSG ที่คาดโตขึ้นเล็กน้อยและตั้งเป้ารักษาการโตของสินค้า Private Brand ที่มีมาร์จิ้นสูงคาด GP ปี 62โตได้ราว 30-40bps.)