“บล.เออีซี”ชี้ SET วันนี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1,665-1675 จุด ชู 9 หุ้นเด่นเน้น 4 ธีมหลัก
“บล.เออีซี”ชี้ SET วันนี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1,665-1675 จุด ชู 9 หุ้นเด่นเน้น 4 ธีมหลัก
บล.เออีซี ประเมินดัชนีวันนี้ (13 มิ.ย.62) ช่วงสั้นมอง SET INDEX กลับมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1,665-1675 จุด ซึ่งแม้คาดมีแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบโลกปรับลงต่อเนื่อง แต่คาดยังมีแรงหนุนจากความคาดหวังต่อผลประชุม Fed ในสัปดาห์หน้าที่มีแนวโน้ม Dovish มากขึ้น
Investment Strategy
ภาพระยะกลางมองทิศทางของ SET Index แกว่งขึ้นต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1,680 จุด จาก Sentiment ในต่างประเทศที่ดีขึ้น หลัง 1) สหรัฐฯ ประกาศยกเลิกแผนเก็บภาษีเม็กซิโก 2) ความคาดหวังต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนในงาน G20 และ 3) สภาพคล่องทางเงินในตลาดที่เพิ่มขึ้น หลัง Fed และ PBOC หันมาพิจารณาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้น ศก. ขณะที่ภาพการเมืองไทยที่ชัดเจนขึ้นหลังได้ข้อสรุปรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีชุดใหม่ หนุนให้โครงการลงทุนต่างๆ เดินหน้าได้ต่อเนื่อง โดยแนะนำลงทุนในหุ้นดังนี้
กลุ่มเนื้อสัตว์: คาดได้อานิสงส์บวกจากราคาเฉลี่ยของเนื้อหมูและเนื้อไก่ในประเทศช่วง YTD เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยของปี 61 ราว 24.3% และ 7.8% ตามลำดับอีกทั้งมีแรงหนุนจากต้นทุนกากถั่วเหลืองนำเข้าที่มีราคาเฉลี่ย YTD ลดลงจากราคาเฉลี่ยของปี 61 ราว 3.2% แนะนำ CPF (ช่วง1Q62 กำไรเติบโต40.37%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจสุกรของไทยเวียดนามและกัมพูชาปรับตัวดีขึ้นเพราะราคาสุกรที่ลดต่ำลงในปีที่แล้วกลับเข้ามาสู่สภาวะปกติรวมทั้งการบริหารจัดการด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพส่วนภาพทั้งปีมองสถานการณ์โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่ระบาดในประเทศจีนส่งผลให้ราคาสุกรมีแนวโน้มสูงขึ้น) และ TFG (กำไร1Q62 โต 84.34%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลบวกของราคาหมูและไก่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น แนวโน้มปี 62 คาดยอดขายทำ New High จากปริมาณขายไก่และหมู ทั้งในและตปท.ที่เพิ่มขึ้น ผลจากการเพิ่มกำลังการผลิตและเจาะตลาดส่งออกใหม่ ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์ตั้งเป้า2-3ปีขยายกลุ่มลูกค้านอกเครือข่ายจาก 20% เป็น 50% )
กลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ: คาดมีโอกาสเติบโตได้ดีจากอัตราการขยายตัวของพอร์ตลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการกู้ยืมเงินของกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่ยังมีอยู่มากและได้รับผลบวกจากการที่ ธปท. เข้ามาควบคุมด้านกฏระเบียบอย่างเข้มงวดทำให้คาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในกลุ่มของผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบมากขึ้น แนะนำ SAWAD (คาดกำไรปี 62 โต 30.8%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนด้วยเป้าพอร์ตสินเชื่อโต 20-30% พร้อมแผนเปิดสาขาใหม่อีก 300-400 สาขา, Asset Yield ฟื้นตัวตามสัดส่วนการรับรู้รายได้ผ่านสัญญาเงินกู้ผ่าน BFIT ที่มากขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่ปรับลงหลังได้รับเงินเพิ่มทุนจากพันธมิตร) และ MTC (คาดกำไรปี 62 โต 20.9%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนด้วยแผนเปิดสาขาใหม่ตามเป้าณสิ้นปีที่ 3,900 สาขา, ต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มลดลงและภาระตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่น้อยลง)
กลุ่มค้าปลีก: คาดได้ประโยชน์จากการเมืองไทยที่ชัดเจนมากขึ้นบวกกับได้อานิสงส์บวกจากนโยบายกระตุ้น ศก. ของรัฐบาลชุดใหม่ที่คาดมุ่งเป้ามาที่การบริโภคของภาคเอกชนเป็นอันดับต้นๆ แนะนำ CPALL (ตั้งเป้ายอดขายปี 62 โตไม่ต่ำกว่า 7%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนด้วยแผนเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องที่ 700 สาขา ส่วนภาพใหญ่มีเป้าหมายใหม่ที่จะขยายสาขาให้ครบ 13,000 สาขาภายในปี 2564 ) และ ROBINS (ทั้งปี 62 คาดมีปัจจัยหนุนจากการเปิดสาขาใหม่1สาขา ตจว. และอีก 1 สาขา กทม. รวมถึงการขยายพื้นที่ 3 สาขา ตจว.ที่มีศักยภาพสูง(+11.5%) ส่งผลให้พื้นที่เช่าเพิ่มบวกกับ SSSG ที่คาดโตขึ้นเล็กน้อยและตั้งเป้ารักษาการโตของสินค้า Private Brand ที่มีมาร์จิ้นสูงคาด GP ปี 62 โตได้ราว 30-40bps.)
กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง: ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีความมั่นคงทางกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ได้แก่ กลุ่มพลังงานทางเลือก แนะนำ TPCH (แม้ช่วง 1Q62 กำไรโตเพียง 4.4%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะมีโรงไฟฟ้าหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักร แต่อย่างไรก็ดีมองระยะยาวมีแนวโน้มโตสดใสจากเป้าปี 63 จะเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าชีวมวลเป็น 200 MW และโรงไฟฟ้าจากขยะกำลังการผลิต 50 MW จากปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 60 MW, โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 49 MW และโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 10 MW), SSP(ช่วง 1Q62 กำไรโต 16.4%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายได้ของโครงการต่างๆ และการบริการรับเหมาก่อสร้างโซลาร์บนหลังคาโดยปี 62 ตั้งเป้า COD เพิ่มอีก 65.6 MW จากโซลาฟาร์มมองโกเลีย 16 MW และโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม 49.6MW ส่งผลให้สิ้นปีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 157.1MW จากปี 61 ที่ 90.4MW) และ BAFS(กำไรสุทธิช่วง 1Q62 เติบโต 7.8%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.9%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปี 62 ตั้งเป้ารายได้โต 8-9%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป้าปริมาณการเติมน้ำมันโต4%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับเริ่มรับรู้รายได้ท่อส่งน้ำมันบางปะอิน-พิจิตร และเตรียมเข้าประมูลโครงการจัดเก็บและเติมน้ำมันในสนามบินอู่ตะเภา)