CCP บวก 6% รับข่าวเจรจาพันธมิตรโลจิสติกส์ พัฒนาระบบขนส่งสินค้า มั่นใจผลงานปีนี้พลิกกำไร

CCP บวก 6% รับข่าวเจรจาพันธมิตรโลจิสติกส์ พัฒนาระบบขนส่งสินค้า มั่นใจผลงานปีนี้พลิกกำไร โดย ณ เวลา 15.32 น. ราคาอยู่ที่ 0.35 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 6.06% สูงสุดที่ 0.36 บาท ต่ำสุดที่ 0.33 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2.86 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP ล่าสุด ณ เวลา 15.32 น. อยู่ที่ 0.35 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 6.06% สูงสุดที่ 0.36 บาท ต่ำสุดที่ 0.33 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2.86 ล้านบาท

นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ CCP เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในธุรกิจโลจิสติกส์ เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบการขนส่งสินค้าของบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้มีค่าขนส่งที่ถูกลง เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ยังไม่สามารถรับกับค่าขนส่งที่สูงได้ ทำให้บริษัทต้องหันมาพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าทางระบบรางที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการรถไฟความเร็วสูงในภาคตะวันออก โดยการเจรจากับพันธมิตรก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะร่วมทุนในอนาคต

“เรามีสินค้าดี หลากลาย มีการตลาดที่ดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เป็นปัญหา คือ การส่งของที่ลูกค้ารับราคาค่าขนส่งไม่ไหว ทำให้เราต้องหันมาพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของเราในปีนี้ ซึ่งดูการพัฒนาระบบรางที่ตอนนี้ก็รอโครงการรถไฟความเร็วสูงคืบหน้า และเจรจากับพันธมิตรเพื่อเข้ามาช่วยพัฒนาระบบ ซึ่งหากเราพัฒนาได้ก็จะทำให้ปัญหาด้านการขนส่งเราคลี่คลายลง สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น” นายอาทิตย์ กล่าว

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 62 ยังมั่นใจว่าจะมีกำไร จากปีก่อนที่ขาดทุนราว 70 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากภาระดอกเบี้ยที่สูง จากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเพื่อนำไปลงทุนในบริษัทลูก โดยเฉพาะการนำเงินกู้ยืมไปลงทุนในบมจ.สมาร์ทคอนกรีต (SMART) ทำให้ CCP ซึ่งเป็นบริษัทแม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูงเพียงบริษัทเดียว

อย่างไรก็ตามในปีนี้หลังจากที่ SMART เริ่มกลับมามีกำไรแล้วจะมีการจ่ายเงินปันผลในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่ง CCP ถือหุ้นใน SMART ในสัดส่วน 28.76% ก็จะนำเงินปันผลที่ได้มาใช้ชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน ที่ปัจจุบันมีหนี้สินของสถาบันการเงินอยู่ราว 800 ล้านบาท ทำให้มีหนี้สินและภาระดอกเบี้ยลดลง และทำให้มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงต่ำกว่า 1 เท่า จากสิ้นไตรมาส 1/62 อยู่ที่ 1.29 เท่า

ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/62 คาดว่าความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์คอนกรีตยังคงมีแนวโน้มทรงตัว จากงานโครงสร้างพื้นฐานในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เช่น ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรม ทยอยดำเนินงานก่อสร้าง อีกทั้งยังมีโครงการของหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ งานถนน ส่วนการลงทุนเมกะโปรเจ็คและภาคเอกชน ยังรอความชัดเจนของการผลักดันโครงการใหม่ของภาครัฐออกมา

อย่างไรก็ตาม การขายผลิตภัณฑ์พรีคาสท์ของบริษัทยังมีความต้องการใช้จากลูกค้าสูงอยู่ หลังจากที่บริษัทหันไปเน้นการขายผลิตภัณฑ์พรีคาสท์ให้กับงานโครงการภาครัฐมากขึ้น พร้อมกับมีการออกผลิตภัณฑ์พรีคาสท์ที่เป็นรางน้ำใหม่ออกมา ซึ่งลูกค้ามีความต้องการใช้มากและให้การตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ยอดขายพรีคาสท์ของลูกค้า 51 รายแรก ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 400 ล้านบาท เข้าใกล้ยอดขายพรีคาสท์ทั้งปีก่อนที่ทำได้ 650 ล้านบาท ทำให้ในปีนี้บริษัทยังคงเน้นการขายผลิตภัณฑ์พรีคาสท์ควบคู่ต่อไปด้วย

ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตมีแนวโน้มที่ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่จะเดินหน้าลงทุนโครงการต่าง ๆ ออกมามากขึ้น ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจของ CCP ในช่วงครึ่งปีหลัง มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปที่มีคุณสมบัติพิเศษให้สามารถรองรับงานโครงสร้างพื้นฐาน งาน Landscape ได้อย่างหลากหลาย เช่น ท่อคอนกรีตขนาดใหญ่พิเศษ แผงกั้นคอนกรีต เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ทั่วประเทศ อีกทั้งเพิ่มความสามารถในการทำกำไร พร้อมปรับปรุงเครื่องจักรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเน้นการเข้ารับงานภาครัฐ ในส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ งานกรมทางหลวง และเดินหน้าติดตามโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด โครงการสนามบินอู่ตะเภา

ขณะที่งานเอกชนจะมุ่งเน้นเข้ารับงานนิคมอุตสาหกรรมที่ทยอยดำเนินงานก่อสร้าง ขณะที่ภาพรวมการเติบโตของกลุ่มผู้ประกอบการรับเหมา และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายย่อยยังขยายตัวค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังมีกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางกลุ่มที่ยังคงมีการขยายงาน พร้อมเน้นเรื่องการพัฒนาสินค้ากลุ่มพรีคาสท์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีการแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ ทำให้มีกระแสตอบรับที่ดีและเริ่มมีคำสั่งซื้อทยอยเข้ามา

สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปัจจุบันแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากคอนกรีตผสมเสร็จ (Ready to Mix) 20% และสัดส่วนรายได้จากพรีคาสท์ 80% และมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากงานภาครัฐ 80% และภาคเอกชน 20% พร้อมตั้งเป้ารายได้ในปี 62 ที่ 2.5 พันล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ราว 2 พันล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน แบ่งเป็น การรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 60% โดยบริษัทจะทยอยประมูลงานเข้ามาเพิ่มอีกในอนาคต เพื่อรักษาระดับ Backlog ไว้ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท

Back to top button