บล.เออีซี”ชี้ SET วันนี้พักตัวในกรอบ1,725-1,735 รอประชุม G20 แนะสอยหุ้นเด่นเน้น 4 ธีมหลัก
บล.เออีซี”ชี้ SET วันนี้พักตัวในกรอบ 1,725-1,735 รอประชุม G20 แนะสอยหุ้นเด่นเน้น 4 ธีมหลัก
บล.เออีซี ประเมินดัชนีวันนี้ (28 มิ.ย.62) คาด SET INDEX พักตัวในกรอบ 1,725-1,735 โดยแม้มีแรงหนุนจากเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าต่อเนื่อง แต่คาดเห็นแรงขายทำกำไรบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยงก่อนเข้าสู่ช่วงการประชุม G20 และการพูดคุยระหว่างผู้นำสหรัฐฯ-จีนในช่วงปลายสัปดาห์
Investment Strategy
ภาพระยะกลางมอง SET Index มีโอกาสแกว่งขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1,740 จุด หลังได้แรงหนุนจากสภาพคล่องทางการเงินในต่างประเทศที่มีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้นทั้งในจีน และ EU บวกกับผลการประชุม Fed ครั้งล่าสุดที่ส่งสัญญาณ Dovish มากขึ้นอีกทั้งมีแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่คาดปรับขึ้นเด่นตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ช่วงปลายสัปดาห์ยังคงต้องจับตาการพูดคุยระหว่างผู้นำสหรัฐฯและจีนเกี่ยวกับการแก้ปัญหาสงครามการค้า หลังประชุม G20 วันที่ 28-29 มิ.ย. เพื่อประเมินการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงถัดไป ดังนั้นจึงยังคงแนะนำลงทุนในหุ้นเด่น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
กลุ่มได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น: ด้วยอานิสงส์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นโดย YTD ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 2.13% เทียบกับค่าเฉลี่ยทั้งปี 61 และ 2QTD ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 0.91% เทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงไตรมาส2/62 โดยเลือกหุ้นนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่ได้ประโยชน์ดังกล่าวจากต้นทุนสินค้าถูกลง ได้แก่ SYNEX (ตั้งเป้าปีนี้รายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% นำโดยสินค้าประเภทอุปกรณ์สื่อสารและสินค้ากลุ่มคอมเมอร์เชียลที่มีแนวโน้มเติบโตสูงบวกกับมีแผนเพิ่มกลุ่มสินค้าใหม่ทั้ง Gaming, Cloud service, Security และ Internet of Things) และ HARN (คาดกำไรปี 62 เติบโต 12.7%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก Backlog ณ สิ้นไตรมาส 1/62 อยู่ที่ 520.7 ลบ. และมีโอกาสได้งานต่อเนื่องจากโครงการภาครัฐและเอกชน อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันเทรดForwardPERปีนี้ที่ระดับ 8.92x)
กลุ่มค้าปลีก: คาดได้ประโยชน์จากการเมืองไทยที่ชัดเจนมากขึ้นบวกกับได้อานิสงส์บวกจากนโยบายกระตุ้น ศก. ของรัฐบาลชุดใหม่ที่คาดมุ่งเป้ามาที่การบริโภคของภาคเอกชนเป็นอันดับต้นๆ แนะนำ CPALL (ตั้งเป้ายอดขายปี 62 โตไม่ต่ำกว่า7%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนด้วยแผนเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องที่ 700 สาขา ส่วนภาพใหญ่มีเป้าหมายใหม่ที่จะขยายสาขาให้ครบ 13,000 สาขาภายในปี 2564)
กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง:ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเลือกหุ้นที่มีความมั่นคงทางกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ได้แก่กลุ่มพลังงานทางเลือก แนะนำ TPCH (แม้ช่วง 1Q62 กำไรโตเพียง 4.4%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะมีโรงไฟฟ้าหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักร แต่อย่างไรก็ดีมองระยะยาวมีแนวโน้มโตสดใสจากเป้าปี 63 จะเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าชีวมวลเป็น 200 MW และโรงไฟฟ้าจากขยะกำลังการผลิต 50 MW จากปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 60 MW, โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 49 MW และโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 10 MW) และ BAFS (กำไรสุทธิช่วง ไตรมาส 1/62 เติบโต 7.8%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.9%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปี 62 ตั้งเป้ารายได้โต 8-9%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป้าปริมาณการเติมน้ำมันโต 4%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับเริ่มรับรู้รายได้ท่อส่งน้ำมันบางปะอิน-พิจิตร และเตรียมเข้าประมูลโครงการจัดเก็บและเติมน้ำมันในสนามบินอู่ตะเภา)
Trading Idea
กลุ่มเรือเทกอง: คาดผลประกอบการช่วงไตรมาส 2/62 จะฟื้นตัวจากช่วงไตรมาส 1/62 หลัง BDIY Index ในช่วง 2QTD ฟื้นตัวกว่า 20.1% เทียบกับช่วงไตรมาส1/62 ซึ่งสูงกว่าการปรับขึ้นของต้นทุนราคาน้ำมันโดย WTI CRUDE FUTURE ช่วง 2QTD เพิ่มขึ้นเพียง 6.5% เทียบกับช่วงไตรมาส1/62 มองหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ PSL ปัจจุบันเทรด Trailing PBV ที่ระดับ 1x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 10 ปีย้อนหลังที่ 1.14x
กลุ่มธนาคาร: มองเป็นกลุ่มที่ราคาน่าดึงดูด จากปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV ต่ำเพียง 1.04x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังช่วง 3 ปีที่ 1.19x อีกทั้งหลังมีการรายงานแบบ ธ.พ.1.1 พบหุ้นในกลุ่มธนาคารที่มีอัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อโดดเด่นได้แก่ KKP (+10.2%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และ KTB (+6.6%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน)