PORT บวก 5% รับแผนจ่อขยายท่าเรือ-โลจิสติกส์ เสริมแกร่งธุรกิจ หนุนผลงานโตต่อเนื่อง
PORT บวก 5% รับแผนจ่อขยายท่าเรือ-โลจิสติกส์ เสริมแกร่งธุรกิจ หนุนผลงานโตต่อเนื่อง โดย ณ เวลา 15.43 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 4.74 บาท บวก 0.24 บาท หรือ 5.33% สูงสุดที่ระดับ 4.78 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.52 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 12.83 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT ณ เวลา 15.43 น. อยู่ที่ระดับ 4.74 บาท บวก 0.24 บาท หรือ 5.33% สูงสุดที่ระดับ 4.78 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.52 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 12.83 ล้านบาท
นางเสาวคุณ ครุจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PORT เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคงจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วใน 2-3 ปีที่ผ่านมา และบริษัทฯ มีแผนจะขยายธุรกิจท่าเรือและโลจิสติกส์แบบครบวงจรเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจของบริษัท
โดยการลงทุนสร้างท่าเรือพาณิชย์แห่งที่ 3 ผ่านการลงทุนใน บริษัท บางกอก ริเวอร์ เทอร์มินอล จำกัด (BRT) ซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการให้บริการท่าเรือได้อีกประมาณ 180,000 TEUs/ปี รวมกับความสามารถในการให้บริการเดิมของบริษัทฯและบริษัทย่อยเป็น 920,000 TEUs/ปี หรือเพิ่มขึ้นราว 24%
อีกทั้ง บริษัทขยายศูนย์กระจายสินค้าต่อยอดธุรกิจ ก้าวสู่การเป็นผู้นำการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร โดยลงทุนใน บริษัท บางกอก โลจิสติกส์ พาร์ค จำกัด (BLP) เพื่อพัฒนาและบริหารโครงการโลจิสติกส์พาร์ค หรือศูนย์กระจายสินค้าบนพื้นที่กว่า 50 ไร่ ในเขตพื้นที่ขอบเมืองกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า
นอกจากนี้บริษัทยังมีการนำเอานวัตกรรมเข้ามาใช้ในการบริการรับกับเทรนด์ธุรกิจยุคดิจิทัล โดยสามารถชำระค่าผ่านท่าและค่ายกตู้สินค้าผ่านระบบ QR Code กับสหไทย เทอร์มินอล เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการใช้บริการที่ท่าเรือสหไทย
โดยปัจจุบันบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากสายเรือ Feeder เข้าที่ท่าสหไทย จำนวน 5 ลำ ซึ่งในเดือนเมษายนที่ผ่านมามีลูกค้าสายเรือรายใหม่เข้าเทียบท่าเรือสหไทย โดยมีชื่อว่า VASI จากประเทศสิงคโปร์ คาดว่าจะมีปริมาณการขนส่งคอนเทนเนอร์ของสายเรือ VASI ประมาณ 1,600 teus/เดือน ซึ่งได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างดี จากการให้บริการกับสายเรือ VASI เน้นไปที่สินค้า ประเภท ปุ๋ย และ เคมีภัณฑ์ โดยมีเส้นทางจากประเทศไทยไปยังท่าเรือ จิตตะกอง บังคลาเทศ โดยตรงซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางที่มีความต้องการ ของตลาดอย่างมาก
นอกจากนี้บริษัทเปิดให้บริการศูนย์ซ่อมบำรุงและจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ครบทั้ง เฟส 1 และเฟส 2 แล้ว ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มกำลังการให้บริการซ่อมบำรุงและจัดเก็บตู้ได้เป็นปีละกว่า 350,000 ทีอียู บนเนื้อที่รวมทั้งหมด 37 ไร่ ยิ่งกว่านั้น จากการย้ายการบริการซ่อมบำรุงและจัดเก็บตู้ออกไปยังบริษัทย่อย ทำให้เพิ่มความสามารถในการรองรับปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20% เป็น 500,000 ทีอียูต่อปี ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพในการให้บริการลูกค้ากลุ่มสายเรือได้มากยิ่งขึ้น