VCOM บวก 3% นิวไฮรอบกว่า 3 เดือน ทยอยรับรู้รายได้ “ไอ-ซีเคียว” เต็มปี หนุนกำไรปีนี้โต 10%
VCOM บวก 3% นิวไฮรอบกว่า 3 เดือน ทยอยรับรู้รายได้ "ไอ-ซีเคียว" เต็มปี หนุนกำไรปีนี้โต 10% โดย ณ เวลา 15.16 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 3.18 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาทหรือ 3.25% สูงสุดที่ระดับ 3.22 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.04 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.78 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท วินท์คอม เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ VCOM ณ เวลา 15.16 น. อยู่ที่ระดับ 3.18 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาทหรือ 3.25% สูงสุดที่ระดับ 3.22 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.04 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.78 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบกว่า 3 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 3.18 บาท เมื่อวันที่ 22 มี.ค.62
ด้าน บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ (28 มิ.ย.62) แนะนำ “ซื้อ” VCOM ราคาเป้าหมาย 3.40 บาท/หุ้น โดย VCOM รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/62 เติบโตสูง 102% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จากรายได้รวมเพิ่มขึ้น 39% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน สู่ 374 ลบ. แบ่งเป็นรายได้จากการขายที่เติบโตตามงานโครงการในประเทศที่เพิ่มมากขึ้น 29% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน สู่ 218 ลบ.
อีกทั้งรายได้จากการบริการที่เติบโตสูง 61% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน สู่ 154 ลบ. หลังรวมรายได้ของบริษัท ไอ-ซีเคียวที่ถูกควบรวมงบมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/61 ซึ่งทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 17% ในไตรมาส 1/61 สู่ 20% แต่ถูกกดดันในส่วนของสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวมโดยเพิ่มขึ้นจาก 11% ในไตรมาส 1/61 สู่ 17% ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 1.6% ในไตรมาส 1/61 สู่ 2.3%
ขณะที่นโยบายประเทศไทย 4.0 สนับสนุนความต้องการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจากธุรกิจขนาดใหญ่และหน่วยงานภาครัฐ โดยคาดว่าโครงการในประเทศจะมีเพิ่มขึ้นหลังมีการจัดตั้งรัฐบาล และบริษัทยังมองหาโอกาสลงทุนในต่างประเทศ ในกลุ่มประเทศ CLM รวมถึงประเทศอื่น ๆ อาทิ บังกลาเทศ ภูฏาน ปากีสถาน และมัลดีฟส์ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของโครงการนำอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในขั้นตอน ระบุตัวตนและการตรวจสอบข้อมูลการแสดงตน เพื่อรองรับการเปิดบัญชีเงินฝากอิเล็กทรอนิกส์(e-KYC)
สำหรับปี 62 จะมีการรับรู้รายได้จากบริษัทย่อย ไอ-ซีเคียว เข้ามาเต็มปี คาดจะทำให้รายได้รวมเติบโตราว 26% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน สู่ 2.3 พันลบ.ใกล้เคียงกับเป้าหมายของผู้บริหาร ด้วยสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิที่ 15% และ 3% ตามลำดับ ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 62 เติบโตราว 10% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน สู่ 64 ลบ. จาก ทั้งนี้ กำไรไตรมาส 1/62 คิดเป็น 13% ของประมาณกำไรทั้งปี
โดยคาดว่าบริษัทจะสามารถเติบโตได้จากโครงการทั้งในและต่างประเทศ จากการประเมินมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานโดยใช้ Prospective PER ที่ 16 เท่าต่ำกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ที่ระดับ 24 เท่าได้ราคาเหมาะสมราว 3.40 บาท มีอัพไซต์ราว 15% อีกทั้งบริษัทยังมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงราว 4% จึงแนะนำ “ซื้อ”