“ดาวโจนส์” ปิดร่วง 767 จุด วิตกเทรดวอร์ทวีความรุนแรงหลังจีนปั่นค่าเงินหยวนต่ำสุดรอบ 11 ปี
"ดาวโจนส์" ปิดร่วง 767 จุด วิตกเทรดวอร์ทวีความรุนแรงหลังจีนปั่นค่าเงินหยวนต่ำสุดรอบ 11 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงหนักสุดในรอบ 1 ปีเมื่อคืนนี้ (5 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากที่จีนปล่อยให้หยวนอ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี และประกาศระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ เพื่อตอบโต้รัฐบาลสหรัฐที่ขู่เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 3 แสนล้านดอลลาร์
โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,717.74 จุด ดิ่งลง 767.27 จุด หรือ -2.90% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,844.74 จุด ลดลง 87.31 จุด หรือ -2.98% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,726.04 จุด ลดลง 278.03 จุด หรือ -3.47%
ส่วนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบติดต่อกัน 5 วันทำการ โดยได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีแนวโน้มบานปลาย หลังจากที่จีนปล่อยให้เงินหยวนทรุดตัวลงต่ำกว่าระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์เมื่อวานนี้ แตะที่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี นอกจากนี้ จีนยังได้ประกาศระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ และจีนอาจเรียกเก็บภาษีจากสินค้าเกษตรของสหรัฐซึ่งจีนได้ซื้อมาก่อนหน้านี้
ด้านนักวิเคราะห์ระบุว่า การที่จีนปล่อยให้หยวนอ่อนค่าลงอย่างมาก ถือเป็นมาตรการตอบโต้คำขู่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน หลังจากที่ธนาคารกลางจีนเคยสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลกในปี 2558 โดยการประกาศปรับลดค่าเงินหยวนในปีดังกล่าว เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก และกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดระบุว่า จีนได้กระทำการปั่นค่าเงิน ด้วยการปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลงต่ำกว่าระดับ 7 ดอลลาร์เมื่อวานนี้ แตะที่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี และสหรัฐจะร่วมมือกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อขจัดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากจีน
ด้านหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งอ่อนไหวต่อประเด็นการค้าระหว่างประเทศนั้นร่วงลงอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นบริษัทโบอิ้งและแคทเธอร์พิลลาร์ซึ่งมีการลงทุนจำนวนมากในต่างประเทศ โดยหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 2.53% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 2.3% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ร่วงลง 3.8% หุ้นอีตัน คอร์ป ร่วงลง 3.1% หุ้น 3M ดิ่งลง 3.4% หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (GE) ร่วงลง 3.3% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก ดิ่งลง 3.60%
สำหรับหุ้นบริษัทเทคโนโลยีและผู้ผลิตชิพที่เข้าไปลงทุนจำนวนมากในประเทศจีนได้ปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นแอปเปิล ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์จำนวน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ ดิ่งลง 5.2% หุ้นบรอดคอม ดิ่งลง 3.9% หุ้นอินเทล ร่วงลง 3.5% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ดิ่งลง 4.8% หุ้น Nvidia ร่วงลง 6.4% และหุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (AMD) ดิ่งลง 4.9% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 3.4% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ร่วงลง 3.47% หุ้นเน็ตฟลิตซ์ ดิ่งลง 3.5% และหุ้นอเมซอนดอทคอม ร่วงลง 3.2%
อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 53.0 ในเดือนก.ค. จากระดับ 51.5 ในเดือนมิ.ย.
ขณะที่ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐร่วงลงแตะระดับ 53.7 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี จากระดับ 55.1 ในเดือนมิ.ย.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย. และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค.