กลุ่มแบงก์ร่วงยกแผง หลังโบรกฯหั่นประมาณการกำไร-มอง Q2 งบฯอ่อนแอ
กลุ่มแบงก์ร่วงยกแผง หลังโบรกฯหั่นประมาณการกำไร-มอง Q2 งบฯอ่อนแอ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ณ เวลา 10.22 น.อยู่ที่ 190.00บาท ลบ 1.50 หรือ 0.78% มูลค่าการซื้อขาย 245.75 ล้านบาท
ราคาหุ้น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ณ เวลา 10.22 น.อยู่ที่ 17.70 บาท ลบ 0.20 หรือ 1.12% มูลค่าการซื้อขาย 141.92 ล้านบาท
ราคาหุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ณ เวลา 10.22 น.อยู่ที่ 154.00 บาท ลบ 1.00 หรือ 0.65% มูลค่าการซื้อขาย 136.52 ล้านบาท
ราคาหุ้น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ณ เวลา 10.22 น.อยู่ที่ 177.50 บาท ลบ 1.50 หรือ 0.84% มูลค่าการซื้อขาย 102.02 ล้านบาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส คาดกำไรกลุ่มธนาคารปี 58 หดตัว 8% เศรษฐกิจฟื้นช้ากระทบผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ โดยทำให้การเติบโตของสินเชื่อน้อยลง ความเสี่ยงเรื่องคุณภาพหนี้มากขึ้น โดย NPL ที่เพิ่มกดดันให้มีการตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงขึ้น
ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของสินเชื่อปีนี้ลงเป็น 3% และปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของกลุ่มลง 11% ยังผลให้กำไรสุทธิกลุ่มธนาคารปีนี้จะหดตัว 8% (ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของทุกธนาคารลง ยกเว้น TCAP และ TISCO ที่ปรับขึ้น)
สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 2/58 คาดว่าจะอ่อนแอเพราะตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงขึ้น สะท้อนเศรษฐกิจที่ซบเซา อย่างไรก็ตาม NIM ของธนาคารขนาดเล็กมีโอกาสปรับขึ้นได้จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ธนาคารที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิไตรมาส 2/58 เติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน คือ TCAP เพราะมีการตั้งสำรองฯ สูงมากในช่วงไตรมาสก่อน
ขณะเดียวกันยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนในครึ่งปีหลัง 58 เนื่องจากการลงทุนภาครัฐที่ล่าช้า ภาคเอกชนชะลอการลงทุน และการบริโภคภาคเอกชนถูกกระทบจากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนสูง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และปัญหาภัยแล้ง ดังนั้นคาดการณ์ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์สำหรับครึ่งปีแรก : ครึ่งปีหลัง จึงเป็น 51% : 49%
ส่วน Valuation ลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับประมาณการกำไรใหม่ แต่หุ้นก็ยังขาดปัจจัยบวกกระตุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวบวกเกี่ยวกับเศรษฐกิจในประเทศ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน จึงเป็นการทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยยังคงให้ KBANK เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มนี้ เนื่องจากมี ROE ที่สูง พอร์ตสินเชื่อกระจายความเสี่ยงดี และมีความสมดุลของสัดส่วนรายได้ดอกเบี้ยและไม่ใช่ดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยหนุน ROE ในระยะยาว