AMA อัพเป้ารายได้ทั้งปีแตะ 2 พันลบ. รับปริมาณขนส่งพุ่ง
AMA อัพเป้ารายได้ทั้งปีแตะ 2 พันลบ. จากเดิม 1.9 พันลบ. รับปริมาณขนส่งเพิ่มขึ้น คาดสรุปดีลซื้อกิจการโลจิสติกส์ในปีนี้ 1 ราย
นายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดจะทำได้ราว 1,900 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 1,767.76 ล้านบท เนื่องจากคากว่าปริมาณขนส่งจะเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ธุรกิจการให้บริการขนส่งทางเรือ คาดว่าจะได้รับผลดีจากคาดการณ์การบริโภคน้ำมันปาล์มของประเทศผู้นำเข้าหลัก เช่น จีนและอินเดียจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในศจีนได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่มีกับสหรัฐ ทำให้จีนนำเข้าน้ำมันถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ลดลง และหันมานำเข้าน้ำมันปาล์มจากประเทศอื่นมากขึ้น โดยคาดว่าปีนี้จีนจะนำเข้าน้ำมันปาล์มเพิ่มเป็น 6.75-6.8 ล้านตัน จากเดิม 6 ล้านตัน ขณะที่อินเดีย คาดว่าปีนี้จะนำเข้าน้ำมันปาล์มเพิ่มเป็น 10.25 ล้านตัน จากเดิม 9.5 ล้านตัน ส่วนฟิลิปปินส์ เวียดนาม เมียนมา คาดว่าจะมีการนำเข้ารวมกันเพิ่มเป็น 3.1 ล้านตัน จากเดิม 2.9 ล้านตัน
โดยปัจจุบัน บริษัทมีกองเรือทั้งสิ้น 11 ลำ น้ำหนักบรรทุกรวม 96,202 เดทเวทตัน โดยสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางเรือจะมาจากน้ำมันปาล์ม 97% และที่เหลือเป็นสินค้าอื่นๆ ซึ่งในครึ่งปีหลังนี้เรือดังกล่าวจะออกวิ่งเต็มที่ทั้งหมด หรือคิดเป็นอัตราการใช้เรือ 100% ขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราค่าบรรทุกยังคงอยู่ในระดับเดิม น่าจะส่งผลดีต่อต้นทุน ทำให้เชื่อมั่นว่าบริษัทจะรักษาระดับการทำกำไรไม่ให้ต่ำไปกว่าไตรมาส 2/62
ขณะที่ในช่วงไตรมาส 3/62 บริษัทได้ทำการซื้อน้ำมันล่วงหน้าไว้แล้วประมาณ 60% ของปริมาณการใช้งานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสนี้ ในระดับราคาน้ำมันที่ 59-60 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่วนในไตรมาส 4/62 ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อน้ำมันล่วงหน้า เนื่องจากมองทิศทางราคาน้ำมันน่าจะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 60 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
ด้านธุรกิจการให้บริการขนส่งทางบก คาดครึ่งปีหลังนี้จะมีอัตราการใช้รถเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้ลูกค้ารายใหม่เข้ามามากขึ้น ล่าสุดได้มีการเซ็นสัญญากับลูกค้า 2 รายในการขนส่งเอทานอลและไบโอดีเซล รวมถึงลูกค้ารายเดิมก็มีการขนส่งน้ำมันมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทรับขนส่งน้ำมันไบโอดีเซล คิดเป็นสัดส่วน 10% และแก๊สโซลีน แก๊สออยล์ 90% ขณะที่ยังคงแผนเพิ่มจำนวนรถในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 181 คัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 161 คัน อย่างไรก็ตามจากปริมาณการขนส่งสินค้าทางบกที่เพิ่มขึ้น รวมถึงปัจจัยราคาน้ำมัน ก็น่าจะส่งผลดีต่อการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่ดีกว่าไตรมาส 2/62 เช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปลี่ยนการจ่ายค่าจ้างพนักงานเป็นรูปแบบของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน หลังจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.62 และน่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายในไตรมาส 2/63 นอกจากนั้น บริษัทคาดว่าจะยังต้องป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกราว 10% จากเดิมที่มีการป้องกันความเสี่ยงในระดับมากกว่า 50% และจะมีค่าใช้จ่ายในรูปแบบเงินดอลลาร์เพิ่มเป็น 100% จากปัจจุบันอยู่ที่ 55-60%
อีกทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเพื่อเข้าซื้อกิจการในกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์จำนวน 2 ราย คาดหวังว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ 1 ราย เพื่อเข้ามาเสริมการเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ในปี 65 จะมาจากธุรกิจให้บริการขนส่งทางเรือ 53%, ธุรกิจให้บริการขนส่งทางบกและธุรกิจอื่นๆ อยู่ที่ 48% และในปี 68 สัดส่วนรายได้จากธุรกิจให้บริการขนส่งทางเรือขะอยู่ที่ 46%, ธุรกิจให้บริการขนส่งทางบก 42% และธุรกิจอื่น 12% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 66.98% และ 33% ตามลำดับ