น้ำมันดิบปิดร่วงหลังการสหรัฐผลิตสูงขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 ก.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก และสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ปรับตัวสูงขึ้นด้วย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 1.63 ดอลลาร์ ปิดวานนี้ (15 ก.ค.) ที่ 51.41 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 1.46 ดอลลาร์ ปิดที่ 57.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจาก EIA รายงานว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 ก.ค.อยู่ที่ 9.562 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงมาก ส่วนสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน เพิ่มขึ้น 438,000 บาร์เรล สู่ระดับ 57.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 58,000 บาร์เรล สู่ระดับ 218 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 3.8 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 141.3 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม สต็อกน้ำมันดิบปรับตัวลง 4.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 461.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 900,000 บาร์เรล
นอกเหนือจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันที่สูงขึ้นแล้ว ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) กล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อวานนี้ว่า เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์จะทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์ มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่นๆ