“โกลเบล็ก”มองปัจจัยลบต่างประเทศกดดันหุ้นไทย แนะลงทุนหุ้นงบฯ Q2 ดี-รับเหมา

"โกลเบล็ก"มองปัจจัยลบต่างประเทศกดดันหุ้นไทย แนะลงทุนหุ้นงบฯ Q2 ดี-รับเหมา


น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังเจอแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะการยกเลิกการคว่ำบาตรของอิหร่าน โดย 6 ชาติมหาอำนาจ ได้แก่ จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย สหรัฐ และเยอรมนีได้บรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์แล้ว ส่งผลให้อิหร่านสามารถส่งออกน้ำมันได้ในตลาดโลกอีกครั้ง จะทำให้ประสบกับภาวะน้ำมันล้นตลาดมากยิ่งขึ้นและส่งผลลบต่อราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน

ขณะที่นางเจเน็ตเยลเลน (ประธานธนาคารกลางสหรัฐ) ได้แถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสมีการส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะกระทบต่อ Fundflowของนักลงทุนต่างชาติให้ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย

ส่วนปัจจัยในประเทศที่น่าจับตาในขณะนี้ คือ ครม.ได้อนุมัติโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์) 3 เส้นทาง คือ สายพัทยา-มาบตาพุด สายบางปะอิน-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี รวมวงเงิน 160,420 ล้านบาท และการขยายเวลาคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)ที่ 7% ออกไปอีก 1 ปี เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังตึงตัว และไม่ต้องการเพิ่มภาระให้แก่ประชาชน

รวมทั้งผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2558 ของกลุ่มธนาคารที่จะทยอยประกาศปลายสัปดาห์นี้ถึงต้นสัปดาห์หน้ามีแนวโน้มเป็นลบจากแรงกดดันจากการปล่อยสินเชื่อชะลอตัวลง ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM)ลดลง รวมถึง สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)ที่สูงขึ้นซึ่งจะกดดันตลาดหุ้นไทย

ด้านนายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด แนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่มี Sentiment เป็นบวก หลังจากกรีซและกลุ่มเจ้าหนี้ยุโรปสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ ทำให้กรีซสามารถรับเงินกู้รอบใหม่มูลค่า 8.6 หมื่นล้านยูโร และการเพิ่มทุนแก่ธนาคารต่างๆของกรีซ 2.5 หมื่นล้านยูโร ช่วยคลายความกังวลการผิดนัดชำระหนี้กรีซ อีกทั้งครม.อนุมัติโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์) 3 เส้นทาง วงเงิน 160,420 ล้านบาท เป็นแรงหนุนต่อดัชนี

อย่างไรก็ตามในช่วงปลายสัปดาห์นี้ถึงกลางสัปดาห์หน้าหุ้นกลุ่มธนาคารจะรายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2558 ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรลดลงจากไตรมาสแรก จะกดดันต่อกลุ่มธนาคารรวมทั้งคำแถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีของนางเยเลน (ประธานเฟดสหรัฯ) ต่อสภาคองเกรสมีการส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะกระทบต่อ Fundflowของนักลงทุนต่างชาติ

ดังนั้นประเมินว่า SET มีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง ในกรอบ 1,460 – 1,500 จุด จึงแนะนำซื้อหุ้นที่มีปัจจัยบวก ได้แก่ กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2558 ออกมาดีเช่น PTTGC, TOP, PTT, THCOM , STPI , FSMART, MTLS, AAV, KCE ,SYNEX รองลงมาหุ้นกลุ่มรับเหมา และ TASCO ที่ได้ประโยชน์จากโครงการก่อสร้างภาครัฐทยอยเปิดประมูลต่อเนื่องทั้งโครงการรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ มอเตอร์เวย์

ส่วนกลุ่มสื่อสารแนะนำ ADVANC , INTUCH เนื่องจากมีความคืบหน้าการประมูล 4G และเป็นหุ้นปันผลครึ่งปีเด่น รวมถึงหุ้นกลุ่มเดินเรือ TTA และ PSL ซึ่งรับอานิสงส์ดัชนีค่าระวางเรือปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน

สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่าราคาทองได้รับแรงกดดันหลังการเจรจาแผนปฏิรูปฉบับใหม่ระหว่างกรีซและกลุ่มเจ้าหนี้ยุโรปสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในที่สุด โดยจะมีการใช้เงิน 2.5 หมื่นล้านยูโร เพื่อเพิ่มทุนแก่ธนาคารต่างๆของกรีซและอาจมีการอนุมัติเงินกู้งวดใหม่จำนวน 8.6 หมื่นล้านยูโรให้กับกรีซซึ่งจะทำให้กรีซสามารถหลีกเลี่ยงภาวะล้มละลายและยังคงเป็นประเทศสมาชิกในกลุ่มยูโรโซนต่อไป ทำให้นักลงทุนลดการลงทุนในทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือด้านการเงินจะเริ่มดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อแผนดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของรัฐสภากรีซและสามารถดำเนินการตามแผนได้ และเชื่อว่าราคาทองปรับลงไม่มากนักเนื่องจากกรีซยังมีความเสี่ยงที่อาจจะไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรการรัดเข็มขัดของเจ้าหนี้ได้ โดยเฉพาะประชาชนชาวกรีซรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคไม่พอใจรัฐบาลที่ทำข้อตกลงกับยูโรโซน

ขณะที่นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด แถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งส่งผลลบต่อราคาทองคำ

ดังนั้นประเมินว่าราคาทองมีแนวโน้มปรับตัวลงต่อ หากพิจารณาจากเทคนิค แต่อย่างไรก็ตามจากราคาทองคำที่ปรับตัวลงมาใกล้จบแนวลงรูปแบบหัวและไหล่ที่ 1,140 เหรียญต่อทรอยออนซ์ จะทำให้ราคาปรับลงไม่มากซึ่งให้แนวรับ 1,145-1,140เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,170 -1,175 เหรียญต่อทรอยออนซ์

Back to top button