NOBLE เด้ง5% ทุบสถิติออลไทม์ไฮ หลังจ่อร่วมทุนพันธมิตรทั้งใน-ตปท. ลุยบิ๊กโปรเจค1.5หมื่นลบ.
NOBLE เด้ง5% ทุบสถิติออลไทม์ไฮ หลังจ่อร่วมทุนพันธมิตรทั้งใน-ตปท. ลุยบิ๊กโปรเจค1.5หมื่นลบ. โดย ณ เวลา 15.04 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 26.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 4.90% สูงสุดที่ 27 บาท ต่ำสุดที่ 25.25 บาทด้วยมูลค่าซื้อขาย 37.13 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ล่าสุด ณ เวลา 15.04 น. อยู่ที่ระดับ 26.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 4.90% สูงสุดที่ 27 บาท ต่ำสุดที่ 25.25 บาทด้วยมูลค่าซื้อขาย 37.13 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้น NOBLE ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.2540
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และกรรมการผู้จัดการ NOBLE เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อร่วมลงทุนพัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์ 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 15,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ในช่วงครึ่งปีหลัง และบริษัทจะมีโครงการในรูปแบบนี้อีกหลายโครงการ ซึ่งจะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้บริษัทยังมีแผนกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจด้วยการขยายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษ ประเมินผลตอบแทนการลงทุนไม่ต่ำกว่า 25% คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 63 ซึ่งจะทำให้มียอดขายจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านบาทในปี 64
ส่วนผลประกอบการในปีนี้ บริษัทมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะเข้าเป้าหมาย 10,000-12,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) อยู่ 17,987 ล้านบาท โดยจะสามารถโอนในปีนี้ราว 29% และบริษัทยังมีโครงการพร้อมขายอยู่ในมือทั้งหมด 17,000 ล้านบาท พร้อมกันนี้บริษัทยังจะพิจารณาขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช้ธุรกิจหลักออกไปอีกราว 1,000 ล้านบาท จากทั้งหมดที่มีอยู่ราว 3,000 ล้านบาท
“สำหรับมาตรการ LTV นั้นในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้เป็นผลกระทบต่อบริษัทแต่อย่างได เนื่องจากลูกค้าของเราส่วนใหญ่วางเงินดาวเกิน 25-30% อยู่แล้ว และอีกส่วนหนึ่งก็ซื้อเป็นเงินสด ในขณะเดียวกันโครงการของบริษัทก็เป็นโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพราคาขายเหมาะสม การขายจึงไม่ยาก” นายธงชัย กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ราวปีละ 1,500-2,000 ล้านบาทเพื่อใช้ซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายที่จะพัฒนาโครงการรวมมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท เพื่อที่จะมีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง