11 โบรกฯเคาะเป้าหุ้นป้ายแดง RBF สูงสุด 4.60 บ. ชูพื้นฐานแกร่งกำไรปี 61-63 โตเฉลี่ย 15%
11 โบรกฯเคาะเป้าหุ้นป้ายแดง RBF สูงสุด 4.60 บ. ชูพื้นฐานแกร่งกำไรปี 61-63 โตเฉลี่ย 15%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักวิเคราะห์ได้มีการวิเคราะห์หุ้น บริษัท บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF ซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายวัตถุที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร (Food Ingreadients) ให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมเป็นหลัก รวมถึงผลิตตามคำสั่งซื้อ (Made to order) นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท ได้แก่ “อังเคิลบาร์นส์” “เบสท์ โอเดอร์” “ก๊อปจัง” “Haeyo” “Angelo” และ “Aroi Mak Mak”
ทั้งนี้ บริษัทแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกเป็น 6 กลุ่ม คือ กลุ่มวัตถุแต่งกลิ่นและรส และสีผสมอาหาร กลุ่มแป้งและซอส กลุ่มผลิตภัณฑ์อบแห้ง กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง กลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติก และกลุ่มผลิตภัณฑ์ซื้อมาเพื่อจำหน่าย
โดยนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมายปี 2563 ที่ 4.60 บาท ระบุว่าบริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานเกล็ดขนมปังในประเทศเวียดนามและประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/2563 และนำเงินที่ได้ส่วนหนึ่งจากการขายหุ้น IPO ไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตที่ประเทศอินโดนีเซียแห่งที่ 2 ในปี 2565
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของรายได้ส่งออกคาดกำไรสุทธิเติบโต 7.6% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน หากไม่รวมค่าใช้จ่าย 0ne time คาดมีกำไรปกติเติบโต 13.3% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนและเมื่อรับรู้รายได้จากโรงงานใหม่ต่างประเทศ คาดว่ากำไรสุทธิปี 2563 จะเติบโต 24% หรืออยู่ที่ 432 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน
บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด ระบุว่า RBF จะมีกำไรปกติใน 3 ข้างหน้า (2561-2563) เติบโตเฉลี่ย 15% จาก 324 ล้านบาท เป็น 488 ล้านบาท ตามลำดับ และคาดว่ายอดขายเพิ่ม 9% ต่อปีจากการเพิ่มการผลิต รวมถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 38% ในปี 2561 เป็น 39% ในปี 2564 และ RBF จะมีรายได้จากต่างประเทศราว 15% ของรายได้ธุรกิจผลิตและผลิตจำหน่ายส่วนประกอบอาหารในปี 2563
ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าราว 37% ของต้นทุนวัตถุดิบรวมทำให้ RBF มีฐานะเป็นผู้นำเข้าสุทธิราว8% ดังนั้นเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 1 บาทจะเป็นแนวโน้มเชิงบวกต่อประมาณการกำไรและมูลค่าพื้นฐานปี 2563 ราว 1.3% ให้ราคาเป้าหมาย 4.52 บาท
ด้านบริษัท โกลเบล็ก จํากัด ให้ราคาเหมาะสมที่ 4.44 บาท ทั้งนี้ประเมินว่ากำไรปี 2562 และ2563 อยู่ประมาณ 352.5 ล้านบาท และ 396.2 ล้านบาทเติบโต 9% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ตามลำดับ โดยปี 2562 คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,783 ล้านบาท เติบโต 6% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจากการขยายตลาดในต่างประเทศ
ทั้งนี้ ก็เป็นตามแผนงานของบริษัทที่ได้ไปตั้งโรงงานในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย และในปี 2563 จะช่วยหนุนให้รายได้จากทั้งสองประเทศเติบโตสูง
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นจาก 37.8% เป็น 37.9% เนื่องจากธุรกิจโรงแรมจะถึงจุดคุ้มทุนจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและค่าเสื่อมราคาที่ลดลง รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นจากการผลิตและรุกตลาดผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้
บริษัท หลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด (มหาชน) ให้ราคาพื้นฐานที่ 4.36 บาท ประมาณกำไรสุทธิปี 2562 และปี 2563 อยู่ที่ 376 ล้านบาท และ 436 ล้านบาท เติบโต 16.1% ตามลำดับ ขณะที่บริษัท หลักทรัพย์อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดว่ากำไรสุทธิปี 62 เติบโต 7% ตามการพื้นตัวของอุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์ โดยผลประกอบการรครึ่งปีหลังของปี 2562 จะเติบโตใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก ขณะที่ปี 2563 – 2564 จะเติบโตเร่งตัวเป็น 24%และ 15% ตามลำดับ
นอกจากนี้ บริษัท หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมายที่ 4.30 บาท บริษัท หลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด(มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 4.20 บาท บริษัท หลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 4.10 บาท บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 4.10 บาท บริษัท หลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 4.10 บาท
บริษัท หลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 4.10 บาท บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 4 บาท