ไพโอเนียร์ มอเตอร์ ไม่หวั่นภาวะตลาดซบเซา เก็งเข้าเทรด mai ราว ส.ค.นี้

ไพโอเนียร์ มอเตอร์ หรือ PIMO ไม่หวั่นภาวะตลาดซบเซา คาดกำหนดวันเสนอขาย IPO หลังโรดโชว์เรียบร้อย เก็งเข้า mai ราว ส.ค.พุ่งเป้าขอมาตรฐาน UL หวังเปิดเกมบุกตลาดสหรัฐ


นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถนำหุ้น PIMO เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ประมาณเดือน ส.ค.นี้ หลังจากเสร็จสิ้นการเดินสายนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุน(โรดโชว์) 9 จังหวัด ซึ่งในสัปดาห์นี้จะโรดโชว์แห่งสุดท้ายในกทม.จากนั้นจะกำหนดวันเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)และเปิดให้จองซื้อ

โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท เพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วเป็น 130 ล้านบาท โดยมีแผนนำเงินที่ระดมทุนได้ไปชำระหนี้ที่มีกับสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นการกู้เงินเพื่อนำมาขยายกำลังการผลิตมอเตอร์ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทและยื่นขอมาตรฐานสินค้าต่างประเทศเพื่อขยายตลาดส่งออก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จากปัจจุบันตลาดส่งออกหลัก คือ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น

“เข้าตลาดหุ้นช่วงนี้ไม่กังวลภาวะตลาดซบเซา เพราะบริษัทมียอดขายไม่ถึง 500 ล้านบาท การจะทำให้ยอดขายขึ้นไป double ไม่ใช่เรื่องยากเพราะบริษัทมีแผนจะโตอยู่แล้ว ปีนี้ก็ได้ลูกค้าญี่ปุ่นสั่งออร์เดอร์เพิ่ม ส่วนวัตถุดิบทั้งทองแดง อลูมิเนียม เหล็กถ้าราคาปรับขึ้นก็สามารถเจรจากับลูกค้าได้ ซึ่งจะไม่กระทบกับผลประกอบการของบริษัท”นายวสันต์ กล่าว

อย่างไรก็ดี บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้จะตามค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ที่เติบโตปีละ 12-15% จากปี 57 ที่มีรายได้ 489 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 40 ล้านบาท โดยในปีที่แล้วมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 15-18% และ อัตรากำไรสุทธิ 5-8%

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/58 บริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) อยู่ที่ 2.01 เท่า และหลังจากนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ไปชำระหนี้แล้วจะช่วยลด D/E ลงเหลือ 0.6 เท่า ปัจจุบัน บริษัทมีหนี้กับสถาบันการเงินกว่า 200 ล้านบาท

ขณะที่เดือน ส.ค.นี้บริษัทจะมีกำลังการผลิตมอเตอร์เพิ่มเป็น 7.6 หมื่นลูก/เดือน หรือเพิ่มขึ้น 30% จากปัจจุบันกำลังผลิตอยู่ที่ 6 หมื่นลูก/เดือน และกำลังการผลิตเต็มกำลังจะอยู่ที่ 8 หมื่นลูก/เดือน ซึ่งเป็นการขยายเพื่อรองรับออร์เดอร์ใหม่จากลูกค้าญี่ปุ่นที่สั่งซื้อมอเตอร์เพิ่มเข้ามาอีก 2 รุ่น คิดเป็นมูลค่าราวปีละ 100 ล้านบาท

ขณะนี้บริษัทอยู่ในขั้นตอนยื่นขอมาตรฐาน UL ของสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะได้รับมาตรฐานดังกล่าวในช่วงปลายไตรมาส 1/59 ถึงต้นไตรมาส 2/59 จากนั้นก็จะสามารถส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯได้ทันที ซึ่งเบื้องต้นกำลังการผลิตใหม่ที่ 8 หมื่นลูก /เดือนเพียงพอรองรับการขยายตลาดได้ แต่หากในอนาคตได้ออร์เดอร์เข้ามามากขึ้นก็อาจจะต้องขยายกำลังผลิตเพิ่มเติม

“เรามองอเมริกาเพราะเป็นตลาดที่ใหญ่มาก โดยตลาดเครื่องปรับอากาศในอเมริกาอยู่ที่ 4.5 ล้านเครื่อง/ปี ต้องใช้มอเตอร์อย่างน้อย 2-3 ลูกต่อเครื่องปรับอากาศ 1 เครื่อง เพราะฉะนั้นต้องใช้มอเตอร์ 10 ล้านลูก/ปี ถ้าเราได้มาร์เก็ตแชร์ตรงนี้มาราว 5% ก็ถือว่ามากแล้ว เทียบกับตลาดในประเทศที่ตลาดเครื่องปรับอากาศอยู่ที่ 1.8 ล้านเครื่อง/ปี “นายวสันต์ กล่าว

โดย PIMO มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการส่งออกจากปัจจุบันอยู่ที่ 25% เนื่องจากมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ราว 30-35% สูงกว่าขายในประเทศ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยของบริษัทที่ 15-18% ประกอบกับ บริษัทมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศยังน่าจะแย่ในช่วง 1-2 ปีนี้ โดยเฉพาะในส่วนของมอเตอร์กำลังจะได้รับผลกระทบมาก เพราะใช้สำหรับเครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งปีนี้เกษตรกรรายได้ลดลง       

ทั้งนี้ ปัจจุบัน สัดส่วนยอดขายมาจากการผลิตและจำหน่ายมอเตอร์สำหรับเครื่องปรับอากาศ 45% มอเตอร์เครื่องสูบน้ำ มอเตอร์สระว่ายน้ำ ปั้มบ้าน 40%และมอเตอร์กำลัง 15%

Back to top button