AOT เตรียมเปลี่ยนเครื่อง CTX ใหม่ทดแทนเครื่องเก่าที่สนามบินสุวรรณภูมิ
AOT เตรียมเปลี่ยนเครื่อง CTX ใหม่ทดแทนเครื่องเก่าที่สนามบินสุวรรณภูมิ
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOTถึงแนวทางการปรับเปลี่ยนเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ใหม่ เพื่อให้มีความทันสมัย ซึ่งในหลักการไม่ขัดข้องโดยยังอยู่ในขั้นตอนที่ทอท.จะต้องศึกษารายละเอียดความเหมาะสมก่อน
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพกร ในฐานะประธานคณะกรรมการ AOT กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ดทอท.วันที่ 22 ก.ค.นี้ จะมีการพิจารณาแผนการปรับเปลี่ยนเครื่องซีทีเอ็กซ์ที่สุวรรณภูมิใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการหารือถึงแนวคิดดังกล่าวไปบ้างแล้ว ซึ่งทอท.จะต้องไปศึกษารายละเอียดของเครื่องที่มีความเหมาะสม พร้อมทำเตรียมจัดทำร่างเงื่อนไขการประกวดราคาการจัดซื้อ(TOR) แผนการติดตั้ง ซึ่งมีความสำคัญมาก เนื่องจากในช่วงเปลี่ยนจากเครื่องซีทีเอ็กซ์เก่าเป็นเครื่องใหม่นั้นจะต้องไม่กระทบต่อการให้บริการ การตรวจสอบกระเป๋าสัมภาระต้องไม่สะดุด คาดว่าจะใช้เวลากว่า 3 ปี ในการดำเนินการจัดซื้อและปรับเปลี่ยนติดตั้งเครื่องใหม่ทดแทนเครื่องซีทีเอ็กซ์ 26 เครื่อง
ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องมีการเปลี่ยนเครื่องซีทีเอ็กซ์ใหม่ เนื่องจากเครื่องเดิมมีอายุใช้งานนานแล้วตั้งแต่เปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ประกอบกับจะไม่มีการผลิตอะไหล่ใน 4-5 ปีข้างหน้า ส่วนเครื่องซีทีเอ็กซ์ใหม่นั้นจะเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น สามารถตรวจกระเป๋าและประมวลผลได้รวดเร็วมากขึ้น เป็นเรื่องของเทคโนโลยีทีดีขึ้นตามยุคสมัย
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับเครื่อง ซีทีเอ็กซ์ 9000จำนวน 26 เครื่องนั้น ได้มีการจัดซื้อเมื่อครั้งก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ยุคพล.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดย บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ (บทม.) ในขณะนั้น ได้ทำสัญญา จัดซื้อจัดจ้างจากกลุ่มไอทีโอ ในวงเงิน 2,608 ล้านบาทขณะที่ไอทีโอจัดซื้อจัดจ้างจากแพทริออท เป็นเงิน 2,003 ล้านบาท โดยแพทริออท จัดซื้อจัดจ้างจากอินวิชั่น อีกทอดในราคา 1,432 ล้านบาท จนเป็นที่มาของข้อสงสัยว่าการจัดซื้อครั้งนั้น เป็นนิติกรรมอำพรางหรือไม่
ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เข้ามาตรวจสอบ ซึ่งการเปลี่ยนเครื่องซีทีเอ็กซ์ใหม่หลังจากใช้งานมาได้ 10 ปี ทอท.ได้ยืนยันว่า มีแนวคิดก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ พล.ต.อ.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยนำปืนพกพาขนาดเล็กไว้ภายในกระเป๋าโดยไม่มีการตรวจพบ จนกระทั่ง ถูกจับกุมที่ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ ประเทศญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม นายประสงค์ได้กล่าวถึงกรณีการเพิ่มมาตรการเอ็กซเรย์กระเป๋าที่ดอนเมืองจนทำให้ผู้โดยสารเกิดความคับคั่งว่า ได้เห็นภาพผู้ดดยสารต่อคิวเพื่อรอตรวจเอ็กซเรย์กระเป๋าที่สนามบินดอนเมืองรู้สึกตกใจมาก จึงรีบประชุมร่วมกับ บพ.และผู้เกี่ยวข้อง และได้ข้อสรุปว่า จะใช้มาตรการตรวจกระเป๋าตามเดิม ซึ่งจะใช้เป็นมาตรการชั่วคราว เนื่องจาก ทอท.อยู่ระหว่างปรับปรุงอาคารเทียบเครื่องบิน หมายเลข 5 และปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร อาคาร 2
โดยจะแล้วเสร็จในเดือนส.ค. 2558 และกำหนดเปิดให้บริการได้ประมาณปลายเดือนก.ย.2558 โดยมีพื้นที่ 106,586.5 ตารางเมตร รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มจาก 18.5 ล้านคน เป็น 30 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะปรับการให้บริการใหม่ โดยแยกผู้โดยสารภายในและระหว่างประเทศออกจากกัน จะทำให้มีพื้นที่มากขึ้น โดยจะมีการติดตั้งระบบเอ็กซเรย์ที่มีจอภาพ มองเห็นสัมภาระภายในกระเป๋าได้ ซึ่งจะทำให้การเอ็กซเรย์ทำได้รวดเร็ว