โบรกฯชี้โอกาส “สะสม” ASIAN ชูธุรกิจมาร์จิ้นสูง-ผลงานฟื้น เคาะเป้า 6.50 บ.ดันอัพไซด์ 34%

โบรกฯชี้โอกาส “สะสม” ASIAN ชูธุรกิจมาจิ้นสูง-ผลงานฟื้นตัว เคาะเป้าสูง 6.50 บ.ดันอัพไซด์ 34%


จากกรณีที่สหรัฐอเมริกาเดินหน้าใช้มาตรการกีดกันการค้ากับไทย ด้วยการระงับสิทธิภาษีศุลกากร (GSP) กับไทย 573 สินค้ามูลค่าสินค้าราว 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะมีผลใน 25 เม.ย. 63 โดยสินค้าหลักๆ คือ สินค้าอาหารทะเล พาสต้า ถั่วน้ำผลไม้ อุปกรณ์เครื่องครัว เหล็กแผ่น ซึ่งไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 2

ด้านนายเฮ็นริคคัส แวน เวสเทนดร็อป ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN เปิดเผยว่าจากกรณีดังกล่าว จากการตรวจสอบโดยการเช็คพิกัดส่งออก พบว่า ยังไม่มีผลกระทบกับบริษัท กล่าวคือ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทูน่า และอาหารแช่เยือกแข็งที่ ASIAN ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ อยู่ในพิกัดที่ไม่ถูกตัดสิทธิ GSP ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (pet food) ก็ไม่ได้รับผลกระทบ

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ASIAN ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารที่มีประสบการณ์ยาวนาน  โดย ASIAN เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทั้งในประเทศตลอดจนส่งออกไปทั่วโลก โดยส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์กลุ่มกุ้งแช่เยือกแข็งเป็นหลัก โดย ASIAN มีรายได้หลักมาจากธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง 42% ของรายได้ตามด้วยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 31% อาหารสัตว์ 11% และธุรกิจทูน่า 10% ทั้งนี้  ASIAN มีประสบการณ์ในธุรกิจอาหารมาเป็นระยะเวลายาวนานถึง 40 ปี

โดยปัจจุบัน  ASIAN มุ่งสู่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีมาร์จิ้นสูง มีแผนมุ่งหน้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์ (คิดเป็น 31% ของรายได้รวม สูงเป็นอันดับสองรองจากกลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็งซึ่งมีสัดส่วน 42% ของรายได้รวม)  ธุรกิจอาหารสัตว์มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงในระดับ 12%-20% มากกว่ากลุ่มอาหารทะเลทั่วไป ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ประมาณ 5-10%

อีกทั้งบริษัทเริ่มเปิดตลาดเพื่อผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศจีน ซึ่งมีการเติบโตสูง โดยคาดว่า ASIAN จะมีรายได้จากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตที่ CAGR 30.8% ระหว่างช่วงปี 2016-2020 นอกจากนี้ในกลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็ง ASIAN ตั้งเป้าเปลี่ยนแปลงธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า (Value-Added) เช่นกัน โดยจะทยอยลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตประมาณ 1,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2019-2020

ทั้งนี้ มองว่ามีโอกาสที่จะทยอยสะสม เนื่องจากแนวโน้มต่อจากนี้ไปมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น จากการเริ่มเปิดตลาดในประเทศจีน และการขยายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง ในปี 2563 คาดว่ากำไรจะกลับมาเติบโตจาก  Efficiency ที่ปรับตัวดีขึ้น ประเมิน gross profit margin ขยายตัวได้ประมาณ 9.5% ใกล้กับในช่วงปี 2017-2018 และการรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการในประเทศจีนรวมถึงการเดินหน้าขยายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในตลาดต่างๆอย่างต่อเนื่อง  แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท

Back to top button