“โนมูระฯ” ชู 11 หุ้นยั่งยืน Top Pick เตรียมรับเม็ดเงินกองทุน SEF ลดหย่อนภาษีแทน LTF
"โนมูระฯ" ชู 11 หุ้นยั่งยืน Top Pick เตรียมรับเม็ดเงินกองทุน SEF ลดหย่อนภาษีแทน LTF
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ (29 ต.ค.62) ว่า กองทุนหุ้นยั่งยืน (SEF) เป็นข้อเสนอจากสภาธุรกิจ (FETCO) ต่อกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณานำมาใช้เป็นทางเลือก ทดแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่กำลังจะหมดอายุลงในปี 2562 นี้ ซึ่งข้อแตกต่างระหว่าง LTF และ SEF ตามที่ FETCO ให้ไว้ มีดังนี้
โดยกองทุน SEF มุ่งเน้นที่จะสนับสนุนและเอื้อประโยชน์ให้ผู้มีเงินได้สุทธิน้อยในการเข้ามาลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
ทั้งนี้ มีกลยุทธ์ประเมินผลของการเปลี่ยนจากกองทุน LTF มาเป็นกองทุน SEF ดังนี้
1) เราคาดยอดซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีทั้งปีอาจสูงขึ้นได้ ในกรณีที่มีโยบายลดหย่อนภาษีของ SEF จูงใจ ผู้มีเงินได้สุทธิน้อย-ปานกลางได้สำเร็จ แม้ว่าจะมีผลลบจากการปรับเพดานลดหย่อนสูงสุดลงเหลือ 2.5 แสนบาท โดยเบื้องต้นคาด การปรับเพดานลดหย่อนลงจะกระทบให้ยอดซื้อจากนักลงทุนที่มีฐานภาษีระดับสูง (2 ล้านบาทขึ้นไป) ลดลงทันทีประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท แต่จากการศึกษาพบว่าจำนวนผู้เสียภาษีในฐานต่ำ-กลาง (รายได้สุทธิ 3 แสน – 2 ล้านบาท) ลงทุนเพิ่มขึ้นเพียง 5% จะสามารถชะลอผลกระทบดังกล่าวได้ และหากสามารถกระตุ้นการลงทุนเพิ่มขึ้นได้ 10% คาดจะทำให้มียอดซื้อลงทุนในกองทุน SEF ปี 2020 อยู่ที่ 8 หมื่นล้านบาท (ฐาน LTF เฉลี่ย 3 ปี 6.5 หมื่นล้าน + ประมาณการณ์ยอดซื้อจากนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น 10% – ผลกระทบจากการปรับเพดานลดหย่อนสูงสุด) ได้ไม่ยาก
2) ปี 2020-2021 จะไม่มีกองทุน LTF ที่หมดอายุถูกขายออกมา เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อระหว่างการเปลี่ยนช่วงเวลาถือครองจาก 5 ไปเป็น 7 ปี ทำให้กองทุน SEF อาจเป็นเม็ดเงินสำคัญในการขันเคลื่อนดัชนีหุ้นไทยปีหน้า
3) ระยะยาวเราคาด Fund Flow ที่เข้ามาลงทุนในกองทุน SEF จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น โดยเราคาดว่าจำนวนผู้มีเงินได้สุทธิได้ในช่วง 3 แสน – 2 ล้านบาท จะมีอัตราเติบโตเร็วกว่าจำนวนของผู้มีเงินได้สุทธิสูงในช่วง 2 ล้านบาทขึ้นไป ส่งผลให้อัตราเร่งของเม็ดเงินลงทุนในกองทุน SEF จากผู้มีเงินได้ที่อยู่ในฐานภาษีระดับกลางที่เพิ่มขึ้นไว
4) คาดหุ้นที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจะเป็นหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETTHSI แต่ไม่อยู่ในดัชนี SET100 คาดว่ามีโอกาสที่กองทุน LTF เดิมจะปรับนโยบายการลงทุนเพื่อกลายมาเป็นกองทุน SEF และเนื่องจากราว 80% ของกองทุน LTF มีนโยบายการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ จึงลองเปรียบเทียบผลกระทบในแง่ของ Fund Flow ไหล เข้า/ออก ระหว่างหุ้นในดัชนี SET100 และดัชนี SETHSI โดยประเมินจากระดับ NAV ณ ปัจจุบันของกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 3.37 แสนล้านบาท
(คลิกที่รูปภาพเพื่อขยายขนาด)
โดยหุ้น Top Pick ที่แนะนำให้สะสม ได้แก่ หุ้นขนาดใหญ่: PTT, AOT, CPALL, ADVANC , SCB, BBL, CPF และหุ้นขนาดกลาง-เล็ก: SC, JWD, PM, NYT
ดังนั้น ในมุมมองกลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านจากกองทุน LTF มาสู่กองทุนหุ้นยั่งยืนและกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (SEF) จึงถือเป็นโอกาสต่อทั้งตลาดหุ้นไทยและต่อหุ้นรายตัวทั้งในระยะสั้นจาก Fund Flow ที่อาจเกิดจากยอดซื้อรวมของกองทุนSEF ที่อาจมากกว่า LTF ทั้งนี้หากนโยบายการให้สิทธิลดหย่อนภาษีใหม่นั้นสามารถจูงใจนักลงทุนที่อยู่ในโครงสร้างภาษีระดับต่ำ-กลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการที่ไม่มีแรงขาย LTF เก่าออกในช่วงปี 2020-2021 หรือในระยะยาวที่แนวโน้ม Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยผ่านกองทุน SEF จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากจำนวน ประชากรที่อยู่ในโครงสร้างภาษีระดับกลางที่มีอัตราเติบโตเร็วกว่าจำนวนประชากรในโครงสร้างภาษีระดับสูง รวมถึง โอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นใหม่ๆที่อยู่ในดัชนีหุ้นยั่งยืน และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่จะต่อยอดในการพัฒนา ประเทศจึงต้องติดตามกันต่อว่า บทสรุปจากกระทรวงการคลังต่อกองทุน SEF นั้นท้ายที่สุดแล้วจะเป็นอย่างไร