IRPC เข้าชิงรางวัลใหญ่เทียบชั้นบ.ระดับโลก ตอกย้ำความเป็นผู้นำดิจิทัลกลุ่มโรงกลั่น-ปิโตรฯ

นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า การที่บริษัทเป็น 1 ใน 4 บริษัทที่เข้ารอบเพื่อชิงรางวัล “BEST DIGITAL TRANSFORMATION PROGRAM” ปี 2019 ที่จัดขึ้นโดย THE ASIAN DOWSTREAM SUMMIT AWARDS  ตอกย้ำการเป็นผู้นำของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นและบริษัทปิโตรเคมีในการก้าวสู่โลกยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน มีความโดดเด่นทางด้านผลการดำเนินงานและเทคโนโลยีนวัตกรรม  ซึ่งบริษัทที่เข้าชิงรางวัลดังกล่าวล้วนแต่เป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ระดับโลก ได้แก่ เชลล์ อารามโก และปิโตรนาส

นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของบริษัทฯ ในการนำเทคโนโลยีด้านดิจิทัลเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต และการทำงานตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่จะผลักดันให้บริษัทเข้าสู่เป้าหมายการเป็น “IRPC 4.0” อีกด้วย

“การใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวขับเคลื่อนองค์กร จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและสร้างความเข้มแข็งภายในองค์กร  ปัจจุบัน IRPC ได้ฉีกข้อจำกัดเดิมๆ ของโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก ด้วยการนำระบบดิจิทัลเข้ามาช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ ซึ่ง IRPC 4.0 อยู่ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ GDP ในมิติ Power of Digital โดยตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านดิจิทัลในกลุ่มโรงกลั่นและบริษัทปิโตรเคมี” นายนพดล กล่าว

สำหรับโครงการที่ทำให้ IRPC ประสบความสำเร็จจนได้รับการคัดเลือก ได้แก่

1.ระบบการควบคุมและวางแผนการเลือกใช้น้ำมันดิบ วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดกับข้อมูลการผลิต ทำให้บริษัทฯ สามารถเลือกซื้อน้ำมันดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถเปลี่ยนจากสัญญาซื้อน้ำมันดิบระยะยาวเป็นแบบ spot ได้มากขึ้น

2. ระบบการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานแบบ real-time ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานของพนักงานระดับปฎิบัติการ ทำให้โรงงานสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด

3. ระบบการวิเคราะห์ราคา ด้วยการยกระดับของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ตัวแปรหลายร้อยตัวเพื่อให้มั่นใจได้ว่า IRPC จะได้ประโยชน์จากพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ลูกค้าจะได้ราคาที่ดีที่สุดในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด

4. PLASTKET.COM พลาสติกอีคอมเมิร์ซแพลทฟอร์มรายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นการพัฒนารูปแบบการซื้อ-ขายเม็ดพลาสติกที่มุ่งเน้นไปที่ความต้องการของลูกค้า และพร้อมขยายแพลทฟอร์มสู่ประเทศอื่นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีหน้า