TMILL ปรับลดเป้ารายได้ปีนี้เหลือโต 30% หลังผลประกอบการ 1H58 ออกมาไม่ดี
TMILL ปรับลดเป้ารายได้ปีนี้เหลือโต 30% จากเดิมคาด 45% มั่นใจอัตรากำไรปีนี้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 5% สูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 4.64% คาดอัตรากำไรสุทธิปี 59 แตะ 8-10% จากปีนี้คาด 5% เผยอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรทั้งใน-ตปท. ร่วมลงทุนผลิตสินค้า
นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดเป้าการเติบโตของรายได้ปีนี้ลงเหลือเติบโตราว 30% จากเดิมคาดไว้ที่ 45% เมื่อเทียบกับปี 57 ที่มีรายได้ 1.6 พันล้านบาท หลังผลประกอบการครึ่งปีแรกออกมาไม่ดีนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบที่เครื่องจักรไม่สามารถเดินเครื่องผลิตได้เต็มประสิทธิภาพ เพราะความสมารถของบุคลากรที่ยังไม่มีความชำนาญ และปัจจัยภายนอกที่ช่วงเดือน เม.ย.มีวันหยุดค่อนข้างมาก และเป็นช่วงปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัย และโรงเรียนต่างๆ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการจะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก หลังจากโรงงานเดินเครื่องผลิตได้เต็มที่ตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นไป โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะใช้กำลังการผลิตได้สูงถึง 80%
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 5% สูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 4.64% เนื่องจากบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนได้ค่อนข้างดี และมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 500 ตันข้าวสาลี/วัน ขณะเดียวกันบริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิในปี 59 จะเพิ่มขึ้นเป็น 8-10% หลังจากใช้กำลังผลิตเฟส 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้กำลังการผลิตรวมเกิน 70% ซึ่งทำให้บริษัทได้ประโยชน์การประหยัดจากขนาด (economy of scale)
ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อร่วมลงทุนผลิตสินค้าเพื่อการต่อยอดจากผลิตภัณฑ์เดิมที่มีมาจิ้นสูง ซึ่งยังไม่สามารถคาดการได้ว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อใด แต่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเกิดขึ้นภายใน 3 ปีนี้ โดยบริษัทศึกษาและเจรจาในทุกรูปแบบทั้งการขายหุ้นแบบบิ๊กล็อต การร่วมลงทุน และการแลกหุ้น TMILL
สำหรับกรณีที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวน 114 ล้านหุ้น เตรียมเสนอเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 ส.ค.58 คาดว่าจะได้รับการอนุมัติ และจะสามารถระดมทุนได้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/58 น่าจะระดมทุนได้ราว 180-200 ล้านบาท ซึ่งจะนำเงินที่ได้ทั้งหมดไปชำระหนี้ที่กู้ยืมมาจากสถาบันทางการเงินเพื่อลดภาระดอกเบี้ยลงเหลือราว 8-10 ล้านบาท/ปี จาก 20 ล้านบาท/ปี