BTS โชว์กำไรไตรมาส 2/63 โตทะลัก 83% รับรู้รายได้รถไฟฟ้า-สื่อโฆษณาเพิ่ม
BTS โชว์กำไรไตรมาส 2/63 โตทะลัก 83% มาที่ 1.23 พันลบ. จากปีก่อน 670.32 ลบ. รับรู้รายได้รถไฟฟ้า-สื่อโฆษณาเพิ่ม ส่วน 6 เดือนแรกกำไร 2.17 พันลบ. โต 105% จากปีก่อน 1.06 พันลบ.
บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.62 ดังนี้
ทั้งนี้ นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BTS เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 ปี 62/63 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิหลังหักภาษีจากรายการที่เกิดขึ้นเป็นประจำ จำนวน 1,131 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 36.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ มีกำไรสุทธิของบริษัทและบริษัทย่อย อยู่ที่ 1.23 พันล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 670.32 ล้านบาท
โดยปัจจัยหลักของการเติบโตอันโดดเด่นนี้ มาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า (Operation & Maintenance หรือ O&M) ในรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวที่เพิ่งเปิดให้บริการ รวมถึงกำไรจากธุรกิจสื่อโฆษณาภายใต้การบริหารงานของ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ทั้งนี้ BTS Group ประกาศกำไรสุทธิประจำไตรมาสนี้ จำนวน 1,278 ล้านบาท และกำไรสุทธิสำหรับช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2562/63 จำนวน 2,171 ล้านบาท
สำหรับในไตรมาสนี้ ธุรกิจขนส่งมวลชนยังคงเป็นหน่วยธุรกิจหลักที่เดินหน้าสร้างรายได้และผลกำไรให้กับ BTS Group โดยรายได้รวมจากธุรกิจขนส่งมวลชน อยู่ที่ 9,132 ล้านบาท คิดเป็น 80% ของรายได้รวมจากการดำเนินงาน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ค่าก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองและรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือและใต้ จำนวน 7,531 ล้านบาท รวมถึงการเปิดให้บริการโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้ (แบริ่ง – เคหะฯ) ทั้งสายตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ส่งผลให้รายได้ O&M เติบโตขึ้น 414 ล้านบาท หรือ 91.5% จากปีก่อนหน้า เป็น 866 ล้านบาท ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากการให้บริการ O&M นี้ ถือเป็นปัจจัยหนุนหลักที่ทำให้ BTS Group สามารถสร้างสถิติกำไรสุทธิจากรายการที่เกิดขึ้นเป็นประจำสูงสุดได้ในไตรมาสนี้
“ภาพรวมธุรกิจระบบขนส่งมวลชนของเราในครึ่งปีหลังและในอนาคตจะยังคงเติบโตแข็งแกร่ง จากการทยอยเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวสถานีใหม่ๆ และผลจากความรุดหน้าของงานก่อสร้างรถไฟฟ้า” นายกวิน กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 มีการเปิดให้บริการสถานีแรก (สถานี N9: สถานีห้าแยกลาดพร้าว) ของโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือ และเราคาดว่าจะเปิดให้บริการโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนืออีก 4 สถานี (ถึงสถานี N13: สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ในเดือนธันวาคม 2562 โดยเราเชื่อมั่นว่าการเปิดให้บริการทั้ง 5 สถานีดังกล่าวในปีงบประมาณนี้จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้โดยสารในระบบ รวมถึงช่วยเพิ่มรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ คาดว่าโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือจะเปิดให้บริการทั้งสาย จากหมอชิตถึงคูคต (ระยะทาง 17.8 กม., 16 สถานี) ได้ภายในปี 2563 สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองนั้นคาดว่าเส้นทางหลักของทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจะสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนตุลาคม ปี 2564
ส่วนของธุรกิจสื่อโฆษณา VGI ได้สร้างสถิติรายได้และกำไรสุทธิสูงสุดในไตรมาสที่ผ่านมาเช่นกัน จากความสำเร็จในกลยุทธ์การเป็นผู้ให้บริการการตลาดแบบ Offline-to-Online (O2O) Solutions ส่งผลให้ VGI รายงานรายได้เพิ่มขึ้น 36.5% YoY จาก 1,222 ล้านบาท เป็น 1,668 ล้านบาท (เติบโต 36.5% จากปีก่อน) และ VGI ยังสามารถสร้างผลกำไรที่เติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยประกาศกำไรสุทธิรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จำนวน 355 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.6% YoY ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือทางด้าน synergy ภายในกลุ่ม VGI
ทั้งนี้ในการเดินหน้าปรับกลยุทธ์มุ่งสู่ O2O solutions ของ VGI นั้น คณะกรรมการบริษัทมาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) (MACO) (บริษัทย่อยของ VGI) ได้มีการอนุมัติการเข้าลงทุน 50% ใน บริษัท ฮัลโล บางกอก แอล อี ดี จำกัด และการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน (Private Placement) จำนวน 1,080 ล้านหุ้น ให้แก่ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) (PlanB) ทั้งนี้ เมื่อธุรกรรมดังกล่าวแล้วเสร็จ MACO จะเดินหน้ารุกต่อขยายการเติบโตในต่างประเทศ สำหรับธุรกิจสื่อโฆษณาในประเทศ MACO จะให้สิทธิ PlanB เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการขายและบริหารสื่อทั้งหมด อย่างไรก็ตามการทำธุรกรรมให้แล้วเสร็จสมบูรณ์นั้น ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่จะจัดขึ้นใน วันที่ 17 ธันวาคม 2562
“จากผลการดำเนินงานของธุรกิจสื่อโฆษณาที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เรามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายของธุรกิจสื่อโฆษณาสำหรับปี 2562/63 ที่ตั้งไว้ได้ เพราะกลุ่ม VGI มีพัฒนาการที่สำคัญทั้งจากการดำเนินงาน ผสานเข้ากับการบูรณาการภายในกลุ่มธุรกิจภายใต้ VGI จะช่วยยกระดับผลการดำเนินงานให้เติบโต สามารถสร้างรายได้ ผลกำไร และมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างมั่นคงยั่งยืนได้ต่อไปในอนาคต” นายกวิน กล่าว