ERW บวก 4.27% นิวไฮในรอบ 2 เดือน ฟากโบรกฯเชียร์ “ซื้อ” ชูเป้า 7.70 บ.
ERW บวก 4.27% นิวไฮในรอบ 2 เดือน ฟากโบรกฯเชียร์ "ซื้อ" ชูเป้า 7.70 บ. โดย ณ เวลา 16.06 น. ราคาอยู่ที่ 6.10 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 4.27% สูงสุดที่ 6.15 บาท ต่ำสุดที่ 5.90 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 100.83 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ล่าสุด ณ เวลา 16.06 น. อยู่ที่ 6.10 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 4.27% สูงสุดที่ 6.15 บาท ต่ำสุดที่ 5.90 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 100.83 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 2 เดือน 8 วัน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 6.20 บาท เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2562
ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ (18 พ.ย.2562) แนะนำ “ซื้อ” ERW ราคาเป้าหมาย 7.70 บาท/หุ้น โดยผู้บริหารมีการปรับเป้ารายได้ของ ERW ลงสำหรับปี 2562 เป็น 3 – 5% จากเดิมที่ 7 – 10% หลังจากที่ผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2562 โตเพียง 2% และมีการปรับประมาณการนักท่องเที่ยวลง แต่บริษัทเชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 4 จะมีการเติบโตที่เพิ่มขึ้น และบริษัทเผยว่า RevPar เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ในเดือน ต.ค. และในกลุ่ม RevPar ติดลบเริ่มปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการแข่งขันด้านราคาบริษัทยังคงเป้าในการเปิดโรงแรมในช่วงไตรมาส 3 โดยมีการเปิด Hop Inn เพิ่มขึ้น 4 แห่ง (336 ห้อง) และบริษัทจะเสร็จสิ้นการตกแต่งห้องพักของ JW Marriot และ Ibis 3 แห่ง, ในไตรมาส 4 บริษัทมีแผนที่จะเปิด Hop Inn เพิ่มขึ้นอีก 3 แห่ง (237 ห้องพัก) และโรงแรม Mercure กับ Ibis สุขุมวิท 24 (201 ห้อง และ 300 ห้อง ตามลำดับ) ครอบคลุมทุกช่วงราคา
ทั้งนี้ RevPar ของโรงแรมหรูเพิ่มขึ้น 1% ในช่วงไตรมาส 3/62 หนุนโดยโรงแรมในกรุงเทพฯ แต่ลดลงในโรงแรมที่หรู โดยเฉพาะรายได้ของอาหารที่เพิ่มขึ้น 4% (แต่ในช่วง 9 เดือน ปี 2562 ยังคงลดลง 2%) แต่สำหรับรีสอร์ทแล้วรายได้ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีน และยุโรปที่หายไป และมีเพียง Hop Inn ที่มี RevPar เพิ่มขึ้นสูงสุดท่ามกลางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ขณะที่ผู้บริหารเผยว่า นักท่องเที่ยวจีนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นในอนาคต มองว่าการเติบโตจะไม่สูงเหมือนในอดีต ในขณะนักท่องเที่ยวชาวอินเดียมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ในช่วงไตรมาส 3/62 และมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และเล็งกลุ่มโรงแรมระยะกลางเป็นหลัก เชื่อว่าในระยะยาวจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเท่าจีน
อย่างไรก็ดี แนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 7.70 บาท (EV/EBITDA)