EPG เผยแนวโน้มครึ่งปีหลังโตต่อ! หลังบริหารต้นทุน-เพิ่มกำลังผลิต จ่อปันผลระหว่างกาลธ.ค.นี้
EPG เผยแนวโน้มครึ่งปีหลังโตต่อ! หลังบริหารต้นทุน-เพิ่มกำลังผลิต จ่อปันผลระหว่างกาลธ.ค.นี้
ดร.ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ยังคงยืดเยื้อ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบในวงกว้าง รวมถึงอาจเกิดความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ โดยข้อมูลจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่าเศรษฐกิจไทยช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ขยายตัว 2.5% คาดว่าทั้งปีจะเติบโตได้ 2.6% จากเดิมคาดการณ์เติบโตไว้ที่ 2.7% – 3.2%
ทั้งนี้ EPG ทำธุรกิจในตลาดโลกจึงต้องปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์เพื่อที่จะสามารถเติบโตได้อย่างเนื่องแม้อยู่ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ปัจจุบัน EPG มีสัดส่วนรายได้ แบ่งเป็น AEROKLAS 48% AEROFLEX 29% และ EPP 23%
สำหรับแนวโน้มธุรกิจและทิศทางการเติบโตในช่วงต่อจากนี้ (ต.ค.62 – มี.ค.63) ยังคงดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ โดยคาดว่ารายได้จากขายในปี 62/63 เติบโตที่ 5 – 6% เนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่คาดว่าจะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 28 – 30% เนื่องจากยังคงได้รับผลบวกจากราคาวัตถุดิบกลุ่มปิโตรเคมีที่ปรับลดลง และการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การเติบโตของ EPG มาจากการสนับสนุนของ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่
ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX มุ่งเน้นทำการตลาดในกลุ่มสินค้าพรีเมี่ยม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นต้น ในด้านการผลิต บริษัทจะทยอยลงทุนขยายโรงงานใหม่ในสหรัฐอเมริกาเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างปีหน้า โดยเน้นใช้เครื่องจักรอัตโนมัติความเร็วสูง ขณะที่การลงทุนในประเทศของ AEROFLEX 5 อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตประมาณ 6,000 ตัน/ปี ซึ่งจะช่วยให้มีโอกาสขยายตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้น เช่น ในกลุ่มประเทศ CLMV และตะวันออกกลาง
ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS มุ่งเน้นทำตลาดผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทพื้นปูกระบะ (Bed Liner)/ หลังคาครอบกระบะ (Canopy) และ บันไดข้างรถกระบะ (Sidestep) ที่มีความต้องการใช้จากกลุ่มลูกค้าต่อเนื่อง สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ฝาปิดกระบะ (Roller lid) ออกสู่ตลาดแล้ว และ ผลิตภัณฑ์อื่นๆ จะทยอยออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจในประเทศเห็นว่าการบริโภคในประเทศชะลอตัวลงโดยเฉพาะรถยนต์ซึ่งเป็นสินค้าคงทน
โดยช่วงเดือน ก.ค. – ก.ย.62 ที่ผ่านมา สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยตัวเลขยอดขายรถกระบะในประเทศลดลง 9.6% และยอดส่งออกลดลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน AEROKLAS เตรียมความพร้อม ปรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตทดแทน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ในทวีปแอฟริกา ซึ่งผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ของโลกหลายรายเข้าไปตั้งฐานการผลิตในประเทศแอฟริกาใต้ เนื่องจากสามารถจะขยายธุรกิจไปยังทวีปแอฟริกาและเป็นประตูสู่ทวีปยุโรปจากการสนับสนุนของรัฐบาลแอฟริกาใต้ โดย AEROKLAS ได้ลงทุนในกิจการร่วมค้า Aeroklas Duys (Pty) Ltd. ประเทศแอฟริกาใต้ ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภท อุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ให้กับลูกค้า OEM และลูกค้ารายย่อยทั่วไปในประเทศแอฟริกาใต้
ธุรกิจในประเทศออสเตรเลีย TJM Products Pty.Ltd (TJM) ได้ทำตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น ในประเทศมาเลเซีย อีกทั้งช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า TJM จะเปิดแฟรนไชน์ในประเทศไทย 2 แห่ง ตั้งอยู่ที่ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้คนไทยที่ชื่นชอบการตกแต่งรถกระบะ 4WD ได้เลือกใช้สินค้าคุณภาพดีมาตรฐานประเทศออสเตรเลียภายใต้แบรนด์ TJM
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP เร่งทำการตลาดในประเทศมากขึ้นในกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารและถ้วยน้ำดื่ม ส่วนลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม EPP มีศักยภาพเพียงพอที่จะรองรับงานด้วยความพร้อมของกระบวนการผลิต และมาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัยทางด้านอาหารที่ได้รับการรับรองจากองค์กรชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก ตามที่ได้ปรับกลยุทธ์ โดยใช้หลักการบริหารจัดการกระบวนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ EPP เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยในปีนี้จะทำการตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการสินค้ามาตรฐานสูง และกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารและถ้วยน้ำดื่ม
นอกจากนี้ EPP สามารถปรับเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบประเภท Bio plastic ได้เนื่องจากมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและเครื่องจักรการผลิตโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม และมีแผนลงทุนขยายไลน์การผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทกระดาษเพื่อสามารถให้บริการด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร รวมถึง มีแผนที่จะขยายตลาดต่างประเทศที่มีความต้องการการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก เช่น กัมพูชา ลาว พม่า ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนของปี 2562/63 (เม.ย.62-ก.ย.62) บริษัทมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 5,434.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% มีกำไรสุทธิ 541.3 ล้านบาท ลดลง 4.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ไตรมาส 2 ปี 62/63 (ก.ค.62 – ก.ย.62) มีรายได้จากการขาย 2,762.5 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,682.3 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30.5% และมีกำไรสุทธิ 326.3 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 262.1 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 24.5%
ดร.ภวัฒน์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุด 30 กันยายน 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท (สิบสตางค์) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 280 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 ธันวาคม 2562 นี้